วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โปรโมชั่นสุดพิเศษ “ Marco Polo Dinner” และ อิ่มอร่อยกับโปรโมชั่น วันแม่แห่งชาติ และ โปรโมชั่น ไชนิสซันเดย์บรั้นซ์

29 ก.ค 54 กรุงเทพ ฯ ณ ห้องอาหารจีนอิมพิเรียลไชน่า โรงแรมอิมพิเรียลควีนปาร์ค สุขุมวิท 22 ขอเชิญขวนท่านและมิตรสหายมาลิ้มชิมรสกับไวน์ชั้นเยี่ยมจากประเทศอิตาลี ทั้งไวน์ขาวและไวน์แดง พร้อมเมนูอาหารจีนเลิศรสสไตล์กวางตุ้งแท้ๆ ที่ รังสรรค์และนำเสนอโดย มร. ชู ฮอยโฮง เชฟใหญ่ฝีมือเยี่ยม จำนวน 6 คอร์ส กับโปรโมชั่นสุดพิเศษ“ Marco Polo Dinner”อาทิ ออเดิฟร้อนเย็น2ชนิดได้แก่ ไก่แช่เหล้าและปอเปี๊ยะไหมเงิน รับประทานกับไวน์แดง ซุปเสฉวนทะเล รับประทานกับไวน์ขาว ปลาหิมะนึ่งเต้าโชว์รับประทานกับไวน์ขาว เนี้อสันฮ่องกงผัดพริกไทดำบล็อคเคอลี่รับประทานกับไวน์ขาว ข้าวผัดกุ้งกระเทียม รับประทานกับไวน์ขาว วอแป๋งรับประทานกับ Chinese wine ในราคา 1988 บาทสุทธิ อิ่มเอมได้แล้วอย่างจุใจตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2554 นี้เป็นต้นไป และอิ่มอร่อยกับโปรโมชั่นพิเศษ ในวันแม่แห่งชาติ ซึ่งคุณแม่รับของกำนัลและเสื้อโปโล รักแม่สุดใจ ฟรี 1ตัว \โต๊ะ ด้วยอาหารเลิศรส 3แบบ 3สไตล์ (นานาชาติ ,จีน ,ญี่ปุ่น ) ซึ่งได้แก่ 1 ห้องอาหารปาร์ตวิว (11.30-15.30) อิ่มอร่อยกับอาหารหลากหลาย จากเตาร้อน มุมขนมหวานนานาชาติ และชิส12ชนิดให้เลือก (ราคานี้รวมไวน์ขาว/ แดง/สปาร์คลิ้งไวน์ เบียร์สด น้ำผลไม้ สมูทตี้ และน้ำอัดลมไม่จำกัดปริมานฟรี ) 2 ห้องอาหารจีนอิมพิเรียลไชน่า(11.30-15.30)พบกับบุฟเฟ่ต์อาหารเลิศรสสไตล์กวางตุ้งแท้ๆฝีมือของ มร ชู ฮอยโฮง เซฟใหญ่ อาทิ ติมซำนึ่ง ทอดกว่า 30ชนิด ออร์เดิร์ฟร้อนเย็นนานาชนิด ซุปหูฉลาม หมูหัน เป็ดปักกิ่งและ อื่นๆอีกมากมาย ในราคาท่านละ 1401บาทสุทธิ 3 ห้องอาหารญี่ปุ่นคาโซ เชิญมาเติมแต่งประสบการณ์ความอร่อยกับเมนูอาหารตามสั่งอย่างจุใจ ในสไตล์บุฟเฟ่กว่า 60รายการ ฝีมือของ มร มาชิโนริ อคีซาว่า เซฟใหญ่ ในราคาท่านละ 880 บาทสุทธิ ทั้งมือกลางวันและค่ำ และช่วงนี้พบกับ โปรโมชั่นสุดพิเศษบุฟเฟต์ ไชนิสซันเดย์บรั้นซ์ เป็นเมนูอาหารจีนเลิศรสสไตล์กวางตุ้งขนานแท้ๆ ซึ่งประกอบด้วยของคาว และ อาหารหวาน อาทิ ซุปเยื่อไผ่เห็ดหอมยาจีน ซุปหูฉลามน้ำแดง เป็ดปักกิ้ง หมูหันฮ่องกง ปลาเก๋านึ่ง หอยเซลล์ผัดซอสเสฉวน ติ่มซำนานาชนิด และอื่นๆ อีกกว่า 50ชนิด ในราคา ท่านละ 1190 บาทสุทธิ ++ เด็กอายุไม่เกิน 12ปี ลด 50% และ ต่ำกว่า 5ปี ทานฟรี สำรองโต๊ะ หรือสอบถามข้อมูลได้ที่เบอร์โทร 02 2619300 ต่อ 5004 , 5059 และ 5111-2

ไฮเนเก้น เปิดชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ เรื่องแรก “It’s Personal” ครั้งแรกในโลกดนตรีที่มีชีวิตบนแผ่นฟิลม์เข้ามาโลดแล่น

ไฮเนเก้น เปิดชมภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ เรื่องแรก “It’s Personal” สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ครั้งแรกในโลกดนตรีที่มีชีวิตบนแผ่นฟิลม์เข้ามาโลดแล่น ในวันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2554 เวลา 17.30 – 20.30 น. ณ โรงภาพยนตร์ สยาม พาวาลัย ชั้น 6 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน ภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์ “It’s Personal” ภาพยนตร์เรื่องแรกของไฮเนเก้น ครั้งแรกในโลกดนตรีที่มีชีวิตบนแผ่นฟิลม์เข้ามาโลดแล่น การหลอมรวมความบันเทิงของโลกภาพยนต์ และโลกดนตรีไว้ด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียว พบทีมนักแสดงนำ เรื่อง “It’s Personal” อาทิ “ต้าร์ บาร์บี้”, “พลอย หอวัง” และ “เอ็กซ์ ฐิติ” พร้อมดาราชั้นนำของประเทศไทย เข้าร่วมชมภาพยนตร์อย่างคับคั่ง ได้แก่ เต๋อ ฉันทวิช และวีเจจ๋า ณัฐฐาวีรนุช และพบกับความสนุกจากมินิคอนเสิร์ตของศิลปินแถวหน้าค่ายสไปร์ซซี่ดิสก์

งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติ ราชพฤกษ์ 2554

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาเกษตรพื้นที่สูง กำหนดจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 - 15 กุมภาพันธ์ 2555 รวมระยะเวลา 99 วัน ณ สวนเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นการเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ทั้งโครงการพระราชดำริ และโครงการส่วนพระองค์ มีการจัดแสดงสวนนานาชาติให้สอดคล้องทั้งภายในและภายนอกอาคาร นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือทางการเกษตร ระบบน้ำ ฯลฯ การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การแสดง แสง สี เสียง ขบวนพาเหรด และการแสดงดนตรีในสวน ฯลฯ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.royalflora2011.com หรือที่สำนักงานจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกฯ 2554 โทร. 0 2579 7531 ต่อ 11, 14 e-mail: royalflora_doa.bkk@hotmail.com, royalflora@royalflora2011.com

The Art of Love by Dinotsuke

ไดโนสุเกะ แบรนด์แฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องหนัง และแอคเซสเซอรี่ที่โปรดปรานของเด็กๆ ต้อนรับเทศกาลวันแม่ที่กำลังจะถึงนี้ด้วยการจัดงาน ‘The Art of Love’ by Dinotsuke’ โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์มือหนึ่ง และครูสอนศิลปะชื่อดัง มาร่วมเผยเคล็ดลับในการสร้างเสริมจินตนาการ และฝึกทักษะการพัฒนาการเด็กยุคใหม่ให้กับบรรดาคุณแม่คนดังที่ต่างจูงลูกสุดที่รักมาร่วมงาน นอกจากนี้ยังร่วมชมโชว์การ์ตูน ‘ไดโนสุเกะตอนภารกิจพิทักษ์รอยยิ้ม’ พร้อมปิดท้ายด้วยขบวนเซเลบริตี้รุ่นเล็กร่วมบอกรักคุณแม่ด้วยการมอบช่อมะลิแทนคำขอบคุณในความรักความห่วงใยที่คุณแม่มอบให้ ทำเอาบรรยากาศ ในงานอบอวลไปด้วยความอบอุ่น และภาพน่ารักสุดแสนประทับใจของคู่แม่ลูก และแขกที่มาร่วมงาน

สมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทยพร้อมจัดสัมมนาครั้งที่ 27 Climate Change เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการค้าโลกจริงหรือ

สมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทยพร้อมจัดสัมมนาครั้งที่ 27 " 27 th TEMCA SEMINAR & EXHIBITION 2011" 19-20 สิงหาคม 2554 ณ ศูนย์ประชุมพีช รอยัลคลิป บีช รีสอร์ท พัทยา ภายใต้แนวคิด "เตรียมพร้อมกับโลกที่ไม่เหมือนเดิม" ในหัวข้อ "Cilmate Changeเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการค้าโลกจริงหรือ..." หวัง เสริมสร้างความเข้าใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-ธรรมชาติ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต และระบบเศรษฐกิจ นายเชิดศักดิ์ วิทูราภรณ์ นายกสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย กล่าวว่า สมาคมช่างเหมาไฟฟ้าฯ นับเป็นศูนย์รวมของประกอบการผู้รับเหมาติดตั้ง ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ในงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลกว่า 500 บริษัท (สมาชิก) ซึ่งการดำเนินธุรกิจทั้งหลายทั้งปวงล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับงานวิศวกรรมและอุตสาหกรรมที่มีส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ได้มาจากการใช้พลังงานเชื้อเพลิงธรรมชาติที่มีการเผาผันอย่างสิ้นเปลือง ที่อาจขาดประสิทธิจนส่งผลกระทบต่อ ระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อมและก่อสภาวะโลกร้อนไม่มากก็น้อย สมาคมฯ ในฐานะที่เป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพและธุรกิจดังกล่าวมีความตระหนักที่จะต้องช่วยกันรับผิดชอบต่อสังคม ด้านนายทักษิณ วัชระวิทยากุล ประธานจัดงานสัมมนาประจำปี 2554 กล่าวว่า สมาคมช่างเหมาไฟฟ้าฯ ได้ตระหนักถึงผลพวงจาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและระบบเศรษฐกิจโลกโดยรวม จึงกำหนดจัดงานสัมมนา ประจำปี ครั้งที่ 27 " 27 th TEMCA SEMINAR & EXHIBITION 2011" ในปีนี้ขึ้นภายใต้แนวความคิด "เตรียมพร้อมกับโลกที่ไม่เหมือนเดิม" ในหัวข้อ "Climate Change เปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและทางการค้าโลกจริงหรือ...." โดยหวังเพิ่มพูนเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นของธรรมชาติในขณะนี้ ที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อระบบธรรมชาติเชิงกายภาพและนิเวศน์ของโลก ตลอดจนการดำเนินชีวิต ระบบเศรษฐกิจและการค้าโดยรวม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าในเรืองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของ Cilmate Change เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความเป็นอยู่ให้สอดคล้องให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกันหาแนวทางทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ต้องใช้ในการอนุรักษ์สภาพระบบนิเวศน์และธรรมชาติ ให้สมาชิกฯ ได้เกิดและเพิ่มพูนแนวคิดเชิงสร้างสรรค์แสวงหาเทคนิคและวิธีการตลอดจนนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในการประหยัดพลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นเวทแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าตลอดจนความคิดเห็นของมวลสมาชิก ตลอดจนกับผู้เข้าร่วมการสัมมนา

‘บิ๊กโคล่า’ดึง‘บีวันเอโฟร์’บอยแบนด์เกาหลีถ่ายโฆษณาตัวใหม่

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 28 ก.ค. ณ ลานอีเดน ชั้น 2 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เครื่องดื่ม บิ๊กโคล่า ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุด ศิลปินบอยแบนด์จากประเทศเกาหลี วง B1A4 (บีวันเอโฟร์) ซึ่งในครั้งนี้ได้มีแฟนคลับของกลุ่มศิลปินดังกล่าวมาร่วมงานแถลงข่าวเป็นจำนวนมากนับพันคน ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า การแถลงข่าวในครั้งนี้เปิดงานด้วยพิธีกรสุดฮา ดีเจ ‘เอกกี้’เอกชัย เอื้อสังคมเศรษฐ์ และสาวเซ็กซี่ ‘เอมมี่’มรกต กิตติสาระ ที่ในวันนี้มาในชุดเกาะอกขาสั้นสุดเซ็กซี่ หลังจากที่ทั้งคู่ได้กล่าวต้อนรับทุกคนที่มาร่วมงานแล้ว ได้เชิญผู้บริหารเครื่องดื่ม บิ๊กโคล่า ขึ้นมาพูดคุยถึงการดึงตัวหนุ่มๆวง B1A4 (บีวันเอโฟร์) มาเป็นพรีเซ็นเตอร์และร่วมถ่ายทำโฆษณาตัวใหม่ โดยในโฆษณาชุดนี้มีนักแสดงสาวไทยสุดฮอต ‘เมย์’พิชญ์นาฏ สาขากร ร่วมแสดงด้วย หลังจากที่การพูดคุยสิ้นสุดลง 2 พิธีกร ได้เชิญ หนุ่มๆ วง B1A4 (บีวันเอโฟร์) ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกทั้งหมด 5 คน คือ จินยอง(Jinyoung) บาโร(Bara) ชานดึล(Sandeul) ชินวู(CNU) และกงชาน(Gongchan) ออกมาหน้าเวที ซึ่งได้เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับสาวๆ ได้ดังสนั่น จากนั้นทั้ง 5 หนุ่ม ได้เปิดใจผ่านล่ามถึงบรรยากาศการถ่ายทำโฆษณาในชุดนี้ และการเตรียมจะมาเปิดคอนคอนเสิร์ตใหญ่ “B1A4 Bigcola First Fan Meet and Greet Concert” เป็นครั้งแรกในเมืองไทย ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ และปิดท้ายด้วยการโชว์เพลง OK1A4 ให้แฟนๆ ได้ฟังกัน เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ อีกรอบ

ดี-แลนด์กรุ๊ป เปิดตัว “พอร์โต้ ชิโน่” (Porto Chino) Community Mall สุดยิ่งใหญ่แห่งแรก บน ถ.พระราม 2

กรุงเทพฯ – วันนี้ (28 ก.ค.) บริษัท ดี-แลนด์กรุ๊ป จำกัด ผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในย่านกรุงเทพตอนใต้และสมุทรสาคร เจ้าโครงการสำคัญในย่านสมุทรสาครและพระราม 2 อาทิ รินรดา ท่าจีน, รินรดา โอเรียนทอล, เอกชัยคอมเพล็กซ์, เดอะพราว ได้จัดงานแถลงข่าวเพื่อแนะนำโครงการ Community Mall บน ถ.พระราม 2 ซึ่งถือเป็นแห่งแรก และใหญ่ที่สุด โดยมีชื่อว่า “พอร์โต้ ชิโน่” (Porto Chino) ด้วยเม็ดเงินลงทุน 500 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 15 ไร่ ติด ถ.พระราม 2 และตั้งอยู่บริเวณหน้าโครงการ “พอร์โต้ วิลล่า” (Porto Villa) ซึ่งเป็นโครงการบ้านผลงานมาสเตอร์พีซล่าสุดโดยดี-แลนด์กรุ๊ป นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์กรุ๊ป จำกัด กล่าวถึงแนวคิดที่มาของโครงการ “พอร์โต้ ชิโน่” ว่า ดี-แลนด์กรุ๊ป เกิดและโตมากับ จ.สมุทรสาคร มองเห็นแนวโน้มการเติบโตของพื้นที่ทั้งจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงเล็งเห็นว่าน่าจะมีแหล่งศูนย์รวมด้าน ไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ได้อย่างครบครัน พร้อมกับเทรนด์ของ Community Mall ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในเขตเมือง และมองว่าน่าจะเหมาะกับชาวสมุทรสาครเช่นกัน เพราะดูอบอุ่น และมีชีวิตชีวา ประกอบกับล่าสุดบริษัทฯมีโครงการบ้าน “พอร์โต้ วิลล่า” บนถนนพระราม 2 และมีพื้นที่ด้านหน้าโครงการที่มองว่ามีศักยภาพ จึงได้ตัดสินใจที่จะสร้างสรรค์ “พอร์โต้ ชิโน่” ขึ้นเพื่อเป็น Lifestyle Mall ที่จะตอบรับกับแนวคิดดังกล่าว “ชื่อโครงการ “พอร์โต้ ชิโน่” (Porto Chino) มาจากคำว่า Port of China ซึ่งหมายถึง “ท่าจีน” ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของสมุทรสาคร เราใช้ชื่อนี้เพราะอยากให้ที่นี่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของชาวสมุทรสาคร ผ่านไอคอนที่เป็นเหมือนแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของพื้นที่ ที่มาพร้อมความโดดเด่นของโครงการที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ศักยภาพติด ถ.พระราม 2 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สำคัญในเชิงท่องเที่ยว เพราะเป็นเส้นทางไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆ อีกทั้งยังเป็นโครงการ Community Mall แห่งแรกที่สมบูรณ์แบบและตอบรับไลฟ์สไตล์ด้านต่างๆได้อย่างครบถ้วน” โครงการ “พอร์โต้ ชิโน่” ครอบคลุมพื้นที่โครงการ 15 ไร่ ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะรวม ไลฟ์สไตล์ในทุกๆด้านไว้ที่นี่ที่เดียว แบ่งพื้นที่ทั้งหมดเป็น 6 โซน ในรูปแบบอาคาร 2 ชั้น ประกอบด้วย โซนอาหารและเครื่องดื่ม โซนสุขภาพและความงาม โซนบริการและธุรกรรมต่างๆ โซนการศึกษา โซนแฟชั่น และสุดท้ายได้แก่ซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งหากมีร้านค้าหรือร้านบริการเต็มพื้นที่ จะมีจำนวนรวมทั้งสิ้นกว่า 150 ร้าน โดยกว่าร้อยละ 65 จะเป็นร้านอาหาร เครื่องดื่ม ซูปเปอร์มาร์เก็ต แบรนด์ชั้นนำต่างๆ นอกจากนี้ยังจัดเตรียม พื้นทีเพื่อรองรับการจอดรถ ได้กว่า 400 คัน โดยสามารถรองรับผู้ใช้บริการได้ไม่ต่ำกว่า 10,000-15,000 ต่อวัน โดยกำหนดเริ่มก่อสร้างในเดือนมิถุนายน ศกนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการเฟสแรกภายในสิ้นปี 2554 นี้ และเฟส 2 ภายในเดือน เมษายน 2555 นอกจากนี้ นายสุเทพ ได้กล่าวถึงความคืบหน้าของ โครงการพอร์โต้ วิลล่า (Porto Villa) โครงการบ้านมาสเตอร์พีซล่าสุดจากดี-แลนด์กรุ๊ป ซึ่งจะตั้งอยู่ติดกับโครงการ Porto Chino ว่า หลังจากที่ได้จัด Soft Launch เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ค่อนข้างได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทั้งในแง่ของความสนใจในการเข้าเยี่ยมชมบ้านตัวอย่าง การเข้ามาสอบถามข้อมูลต่างๆ รวมถึงยอดจอง ซึ่งมีลูกค้าจองบ้านในโครงการแล้ว จำนวน 23 หลัง ในช่วงเพียง 1 – 2 เดือนเท่านั้น “เรามีบ้านตัวอย่างให้ลูกค้าเยี่ยมชม จำนวน 5 แบบ โดยเป็นการออกแบบและตกแต่งทั้ง 5 หลัง เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสจริงๆ นอกจากนี้ในส่วนของคลับเฮาส์ที่เป็นไฮไลท์ของโครงการอีกส่วนหนึ่ง ก็กำลังเริ่มการก่อสร้าง โดยคลับเฮาส์จะมีความพิเศษอยู่ที่รูปแบบของการออกแบบ ที่สวยงามและทันสมัย โดยผสมผสานแบบสวนในสไตล์ Vertical Garden เพื่อดึงดูดให้ลูกบ้านสนใจในการออกกำลังกายได้มากขึ้น พร้อมทั้งเป็นที่พบปะสังสรรค์ และเป็นพื้นที่ในการทำกิจกรรมต่างๆของโครงการ เพื่อเติมเต็มแนวคิดของโครงการที่ชูความเป็น Boutique – Luxury Living อย่างสมบูรณ์แบบ โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2555” นายสุเทพ กล่าวในตอนท้าย ทั้งนี้ ผู้สนใจร่วมสัมผัสกับโครงการพอร์โต้ วิลล่า (Porto Villa) และโครงการ “พอร์โต้ ชิโน่” (Porto Chino) สามารถเยี่ยมชมโครงการได้ ณ สำนักงานขายโครงการ ถ.พระราม 2 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 1793 หรือ www.dl.co.th

ปั้น “เพาวซ่าร์” น้ำมันหล่อลื่นตัวใหม่ คุณภาพระดับโลก ตั้งเป้าแบรนด์ผู้นำในเอเซีย

27 กรกฎาคม 2554 – กรุงเทพฯ บริษัท น้ำมันปิโตรเลียมไทย จำกัด เปิดตัว “เพาวซ่าร์” (PULZAR) ผลิตภัณฑ์หล่อลื่นตัวใหม่ล่าสุด โชว์สุดยอดนวัตกรรมใหม่ สูตร MRT เพิ่มพลังปกป้องต่อเนื่องยาวนาน ตั้งเป้ายอดขายปีแรกพันล้านบาท มุ่ง 3 ปี ดัน “เพาวซ่าร์” ขึ้นชั้นแบรนด์เอเชียหวังทดแทนแบรนด์ดัง“เพนน์ซอยล์” (Pennzoil) ที่ได้กลายเป็นตำนานในเมืองไทย หลังสร้างชื่อในเมืองไทยเกือบ 60 ปี เนื่องจากต้องการเลิกทำตลาดนอกทวีปอเมริกา นายสมภพ ติงธนาธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำมันปิโตรเลียมไทย จำกัด เปิดเผยว่า “การเปิดตัว “เพาวซ่าร์” ในครั้งนี้ เรามั่นใจว่าเรามีความพร้อมทั้งด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีประสบการณ์ทำงานในอุตสาหกรรมหล่อลื่นมากว่า 30 ปี มาช่วยพัฒนาสูตร และมีความพร้อมด้านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านตัวแทนร้านค้ากว่า 1,300 รายทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรายังเตรียมจัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขาย ทั้งแคมเปญโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างครอบคลุมทุกสื่อด้วยงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท เพื่อให้แบรนด์เพาวซ่าร์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง” นายสมภพ กล่าวอีกว่า บริษัทฯในฐานะที่เคยเป็นผู้ได้รับสิทธิ (Licensee) จากบริษัท Pennzoil Quaker State ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นภายใต้แบรนด์ “เพนน์ซอยล์” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบริษัทนอกประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทางเพนน์ซอยล์ให้ความไว้วางใจในการเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย โดยที่ผ่านมาบริษัท น้ำมันปิโตรเลียมไทย จำกัด ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถรักษามาตรฐานและพัฒนาคุณภาพสินค้าให้กับผู้บริโภค และสามารถสร้างยอดขายผลิตภัณฑ์เพนน์ซอยล์สูงเป็นอันดับต้นๆของโลกรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา “จากที่บริษัท Pennzoil Quaker State ได้มีนโยบายมุ่งเน้นการทำตลาดเฉพาะทวีปอเมริกาเหนือเท่านั้น จึงได้ยกเลิกสิทธิ์ หรือ License ในประเทศต่างๆซึ่งรวมถึงประเทศไทย จึงทำให้บริษัทฯต้องยุติการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ “เพนน์ซอยล์” และได้คิดค้นวิจัยผลิตภัณฑ์หล่อลื่นแบรนด์ “เพาวซ่าร์” ขึ้นมาแทน โดยพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยอิงตามมาตรฐานสากล พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่ MRT (Modified Release Technology) ในผลิตภัณฑ์เพาวซ่าร์ ที่ให้การปกป้องและเพิ่มสมรรถนะเครื่องยนต์ในทุกกิโลเมตรของการใช้งาน สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและให้ความแรงทุกครั้งที่เร่งแซง ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์เพาวซ่าร์เปิดตัวสินค้าทั้งหมด 14 รุ่น ครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ทุกกลุ่ม ตั้งแต่รถยนต์สมรรถนะสูง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถปิคอัพ รถบรรทุกงานหนัก รถโดยสาร รวมถึงเครื่องจักรกลที่ใช้ในงานอุตสาหกรรมและงานเกษตรกรรมทั่วไป” นายสมภพ กล่าว “จากการเดินสายพบปะตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ พบว่าร้านค้าต่างๆล้วนมั่นใจในคุณภาพของสินค้าและพร้อมที่จะเดินเคียงข้างบริษัทฯ เพื่อร่วมกันสร้างแบรนด์ เพาวซ่าร์ ให้เป็นน้ำมันหล่อลื่นชั้นนำในระดับภูมิภาค โดยบริษัทฯจะได้จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ให้กับดีลเลอร์อย่างเป็นทางการ ขึ้นที่โรงแรมรามาการ์เดนส์ ในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้” นายสมภพ ติงธนาธิกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำมันปิโตรเลียมไทย จำกัด ระบุ นายฤทธิชัย ติงธนาธิกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท น้ำมันปิโตรเลียมไทย จำกัด ในฐานะหัวหน้าทีมวิจัยของบริษัทฯ ที่ได้ร่วมกับทีมงานจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพาวซาร์ ได้กล่าวย้ำถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ว่า “เราเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นเพาวซ่าร์ ตั้งแต่น้ำมันพื้นฐานคุณภาพสูงทั้งแบบธรรมดาและแบบสังเคราะห์ รวมถึงสารเพิ่มคุณภาพพิเศษที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาจากผู้ผลิตชั้นนำของโลก เพื่อนำมาพัฒนาเป็นสูตรเฉพาะของเพาวซ่าร์ โดยผลิตภัณฑ์ เพาวซ่าร์ได้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานที่ทันสมัยผ่านการรับรองระบบบริหารจัดการด้านคุณภาพ ISO 9001 และระบบบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001 โดยทีมงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในเทคโนโลยีการผลิต เพื่อให้ได้น้ำมันหล่อลื่นที่มีคุณภาพสูงในระดับโลกอย่างแท้จริง” นายฤทธิชัย กล่าวต่อว่า “ทีมงานวิจัยและพัฒนาน้ำมันหล่อลื่นเพาวซ่าร์ (PULZAR) ของบริษัทฯ ได้ร่วมกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมหล่อลื่นมากว่า 30 ปี นำโดย ดร. จอร์จ นิวโซรอฟ (Dr.George Newsoroff) ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันหล่อลื่นและจาระบี ในการคิดค้นน้ำมันหล่อลื่นและจาระบีเพื่อการหล่อลื่นที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ทุกประเภท และสามารถรองรับเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจุบัน”ขณะที่นายวิสุทธิ์ รัตนไพฑูรย์ ผู้จัดการส่วนการตลาด บริษัท น้ำมันปิโตรเลียมไทย จำกัด เผยถึงแนวทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ว่า “จะจัดจำหน่ายในประเทศไทยก่อนใน 3 ปีแรก เพื่อสร้างฐานที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทได้เตรียมงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการตลาด ส่งเสริมการขาย และโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งผ่านสื่อ และ ณ จุดขายอย่างเต็มที่ เพื่อให้เพาวซ่าร์สามารถเข้าถึงลูกค้าให้ได้มากที่สุด มีการจัดกิจกรรมร่วมกับเครือข่ายร้านค้าที่ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงจัดทำโปรโมชั่นสนับสนุนการขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างการยอมรับในผลิตภัณฑ์เพาวซ่าร์นี้ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยเข้าร่วมกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community, AEC) จะเป็นโอกาสให้เราได้ทำตลาดในภูมิภาคได้เสรีมากขึ้น จึงจะรุกตลาดอาเซียนเป็นเป้าหมายต่อไป โดยจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากบริษัทฯ สามารถพัฒนาผลิตภัณท์ให้ตอบสนองความต้องการของตลาดในแต่ละประเทศได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนช่วงที่เราเป็น Licensee ที่มีข้อจำกัดมากมาย” นายวิสุทธิ์ กล่าวปิดท้าย

The Pinnacle of Super Sports Cars: Lamborghini presents Aventador LP 700-4 at Geneva Autoshow 2011



Lamborghini Aventador LP 700-4 ได้รับการพัฒนาและบ่มเพาะ เป็นอย่างดีจากฝ่ายวิจัยและพัฒนาของLamborghini เพื่อให้รถเป็นคำตอบของคำว่าสมบูรณ์ที่สุดของสมรรถนะ ด้วยชุดควบคุมกำลังแรงบิดและอัตราเร่งรอบเครื่องยนต์ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ และที่สำคัญคือ มีน้ำหนักเบามากเพียง 235 กิโลกรัม (518 ปอนด์) เครื่องขนาด 12 สูบ ให้พละกำลังที่ 515 กิโลวัตต์ หรือ 700 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์สุดเร้าใจที่ 8,250 รอบ/นาที ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ของซูเปอร์คาร์บนโลกใบนี้ ตัวรถให้อัตราแรงบิดมหาศาลสะใจทุกช่วงความเร็วชนิดที่ไม่มีคำว่าหมดที่ 690 นิวตันเมตร (509 ปอนต์ฟุต) ที่ 5,500 รอบ/นาที ผู้ขับจะรู้สึกสนุกกับตัวรถที่ให้พละกำลังได้มากเกินความคาดหมาย ความแรงเหมือนจะสุดแต่ก็ไม่สุดจากเครื่องยนต์ 12 สูบ ขณะที่เสียงที่แผดก้องกังวาลของเครื่องยนต์เป็นตัวกระตุ้นอะดรีนาลินในการขับขี่ได้มากยิ่งขึ้นไปอีกทุกช่วงความเร็ว Aventador สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียงระยะเวลา 2.9 วินาที เท่านั้น และ ด้วยความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ขั่วโมง Lamborghini Aventador LP 700-4 ถูกออกแบบโครงสร้างด้วยตัวถังแบบโมโนค็อกขึ้นรูปทั้งลำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ให้ความแข็งแกร่งกว่าโครงสร้างแชสซี และวัสดุอลูมินั่มอัลลอยที่ใช้กันอยู่ในรถซูเปอร์คาร์ทั่วไป การออกแบบนวัตกรรมตัวถังของ Lamborghini ส่งผลให้ Aventador มีบุคลิกที่คล่องตัวจากตัวถังที่ยืดหยุ่นและแข็งแรงเมื่อปลดปล่อยพลังจากเครื่องยนต์ อีกทั้งด้วยน้ำหนักซึ่งเป็นจุดเด่นของคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักรวมของโครงสร้างโมโนค็อกนี้หนักเพียง 147.5 กิโลกรัม(325.18 ปอนด์)เท่านั้น ในส่วนของเฟรมรองรับแรงกระแทกทางด้านหน้าและด้านหลังของตัวรถขึ้นรูปจากนวัตกรรมอลูมินั่มรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทนต่อแรงกระทำได้สูงถึง 35,000 นิวตันเมตร ต่อ องศากระทำซึ่งถือว่าสูงมาก และวัสดุเฟรมอลูมินั่มนี้ยังมีน้ำหนักเพียง 229.5 กิโลกรัม (505.9 ปอนด์) เพียงเท่านั้น Lamborghini ได้สรรสร้างความสมบูรณ์ด้วยเครื่องยนต์ 12 สูบบล็อกใหม่ ที่ทำงานร่วมกับนวัตกรรมระบบขับเคลื่อนแบบ ISR (Independent Shifting Rods) ระบบเกียร์ขับเคลื่อนจะทำงานผสานกับกำลังของเครื่องยนต์ได้อย่างสมบูรณ์ทุกช่วงเกียร์และเป็นที่กล่าวขวัญถึงระบบเกียร์ที่ให้อารมณ์ในการขับขี่เหนือกว่าระบบขับเคลื่อนใดๆ ในรถซูเปอร์คาร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการออกแบบระบบขับเคลื่อนของทีมวิศวกรรมอื่น ที่ออกแบบมาเพียงต้องการชับเคลื่อนได้เร็วกว่าแบรนด์อื่นแต่กลับซึ่งไร้ซึ่งอารมณ์และการตอบสนองจินตนาการของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับระบบเกียร์ขับเคลื่อนแบบคลัตท์คู่ (dual-clutch transmission) ที่เป็นที่นิยมในรถซูเปอร์คาร์ในขณะนี้ไม่สามารถเทียบได้กับระบบเกียร์ของ AVENTADOR เลย จุดเด่นอีกอย่างคือ ขนาดและน้ำหนักชุดเกียร์ระบบขับเคลื่อน ISR ที่มีน้ำหนักเบานี้ถือเป็นนวัตกรรมที่ออกแบบมาสำหรับรถที่เกิดมาเป็นซูเปอร์คาร์อย่างแท้จริ่ง

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กทม. จับมือ ทีซีซีแลนด์ สนับสนุนโครงการ เอคอม บูธแคมพ์ ครั้งแรกในไทย

22 กรกฎาคม 2554 กรุงเทพฯ : บริษัทเอคอมร่วมกับกรุงเทพมหานครและทีซีซีแลนด์ จัดโครงการเอคอม บูธแคมป์ (AECOM Boot Camp 2011) ระหว่างวันที่ 15-22 กรกฎาคม นับเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นในประเทศไทย โดยเชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญที่มีความคิดสร้างสรรค์จากนานาประเทศได้ร่วมศึกษาความสัมพันธ์ของชุมชนเมืองที่มีต่อแม่น้ำเจ้าพระยา ออกแบบ และวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการพัฒนา ภายใต้แนวคิด “Creative Chao Phraya” เพื่อส่งเสริมให้กรุงเทพเป็นเมืองที่น่าสนใจในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สอดคล้องกับแนวคิด “Creative Thailand” ของรัฐบาลไทย หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า แม่น้ำเจ้าพระยามีบทบาทสำคัญกับคนไทยมาหลายยุคหลายสมัย เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศจนถึงปัจจุบัน และยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมสำคัญมากมายตามลำน้ำ อาทิ มัสยิด โบสถ์ของศาสนาคริสต์ วัดไทย และบ้านไทยโบราณ อย่างไรก็ตาม ยังมีพื้นที่ว่างริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่รอการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ เพื่อทำให้กรุงเทพฯงดงามยิ่งๆขึ้นไป “ผมเชื่อว่าหากเราวางแผนและออกแบบให้ดี กรุงเทพมหานครของเรา โดยเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการสร้างสรรค์อันงดงามทำให้กรุงเทพฯเป็นหนึ่งในเมืองที่เที่ยวและน่าอยู่ที่สุดในโลกได้ การพัฒนาโครงการดังกล่าว ต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชน การที่บริษัทเอคอม และบริษัท ทีซีซี แลนด์ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการเอคอม บูธแคมป์ ครั้งนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี” “เราทำโครงการบูธแคมพ์ โดยให้มีเวิร์คช็อปเพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้เข้าศึกษาในพื้นที่จริงที่ไม่ซ้ำกัน รวบรวมข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายวิชาชีพ และนำมาวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง โดยมุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมและแนวทางสร้างสรรค์ในการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนและท้าทาย ทุกๆปีที่ผ่านมาผู้เข้าร่วมโครงการ บูธแคมป์ ของเอคอม ได้แสดงให้เห็นถึงแนวคิดใหม่ๆในการพัฒนา แต่ละทีมทำงานอย่างแข็งขันและนำเสนอผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รางวัลหรือไม่ สิ่งที่ได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมถือเป็นประสบการณ์ชีวิต” นายดิกสัน โล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารแห่งเอเชียของบริษัทเอคอม กล่าว นายปณต สิริวัฒนภักดี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด ชี้แจงถึงเหตุผลในการสนับสนุนโครงการครั้งนี้ว่า แม้บริษัทเอคอม ซึ่งเป็นบริษัทผู้ออกแบบขนาดใหญ่ได้จัดทำโครงการนี้ต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยจัดในเมืองไทย ทีซีซีแลนด์เห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะมีส่วนส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถ ได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาจากบริษัท เอคอม เช่น สถาปนิก ภูมิสถาปนิก ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกร และนักวางผังเมือง ร่วมด้วยตัวแทนจากกลุ่มบริษัท ทีซีซีฯ โครงการนี้เน้นให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองและชุมชน ได้ร่วมกันทำงานบนพื้นที่จริงริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และผลการศึกษาที่มุ่งเน้นการนำไปปฏิบัติได้จริงที่ได้จากเวิร์คช็อปทั้งสัปดาห์ ก็จะนำเสนอเป็นแนวคิดให้กับกรุงเทพมหานคร เพื่อการพัฒนาต่อไปในอนาคต

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“สมรภูมิไอเดีย สื่อเทคโนโลยีนิวเคลียร์ทั่วไทย”“อ๊อฟ” นำทัพ จัดเต็มความสนุกมากสาระ ทุกพื้นที่



ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับโครงการ “สมรภูมิไอเดีย สื่อเทคโนโลยีนิวเคลียร์ทั่วไทย” ที่รายการ “สมรภูมิไอเดีย” และ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจกับน้องหนู เยาวชนของชาติในการนำพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านอาหาร ด้านการเกษตร ด้านอุตสาหกรรมและพลังงาน โดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ จันทร์เต็ม พรีเซ็นเตอร์โครงการ นำทัพสื่อการเรียนการสอนสุดสร้างสรรค์ ที่เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่ก็เล่นดี อย่าง เกมคอมพิวเตอร์ หนังสือการ์ตูน สื่อสามมิติ ไปส่งตรงให้น้องหนู ยังโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ อาทิ โรงเรียนองครักษ์ จ.นครนายก, โรงเรียนดาราวิทยาลัย จ.เชียงใหม่, โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง, โรงเรียนอนุบาลมุกดาหาร, โรงเรียนเบญะมะมหาราช จ.อุบลราชธานี, โรงเรียนเทพมิตรศึกษา จ.สุราษฎร์ธานี, โรงเรียนศรีธรรมราชศึกษา จ.นครศรีธรรมราช เป็นต้น ก่อนกลับมาจัดเต็มแบบไม่มีกั๊ก ณ ชั้น 1 สยามดิสคัฟเวอรี่ กรุงเทพมหานคร ให้ประชาชน เยาวชนทั่วไป มีส่วนร่วมความสนุกมากสาระครั้งนี้ โดยได้ 2 พิธีกร ดาว-อภิสรา นุตยกุล และ เอก-วิชัย จงประสิทธิ์พร มาเสริมทัพ สร้างสีสันเล่นเกมกับน้องๆ อย่างเป็นกันเอง งานนี้น้องหนูต่างสนุกสุดหรรษา เรียกว่างานไม่ไม่กลับบ้านกันเลยทีเดียว โดย “หนุ่มอ๊อฟ” ขอเป็นตัวแทน เปิดเผยว่า “อ๊อฟภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก กับการเป็นพรีเซ็นเตอร์โครงการ “สมรภูมิไอเดีย สื่อเทคโนโลยีนิวเคลียร์ทั่วไทย” โดย 20 โรงเรียนทั่วประเทศที่ได้ไป อ๊อฟทุ่มเททุกโรงเรียน ในการให้ความรู้น้องๆเยาวชน เพื่อให้เห็นถึงประโยชน์ของพลังงานนิวเคลียร์ ที่มีด้านดีมหาศาล ซึ่งน้องระดับประถมต้นบางส่วน ยังเข้าใจอยู่ด้านเดียวว่านิวเคลียร์คือระเบิด พอมีโครงการดังกล่าว จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ได้ดีครับ ซึ่งน้องๆ แต่ละคนก็ให้ความสนใจ เกมคอมพิวเตอร์ หนังสือการ์ตูน และสื่อสามมิติ ที่เราขนไปให้เล่นอย่างมากครับ บางคนถามเลยครับว่ามีขายที่ไหน มีดาวน์โหลดหรือเปล่า จะเอาไปเล่นต่อที่บ้าน สุดท้ายอ๊อฟอยากฝากให้คนไทยทุกคนร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติ เพื่อรักษาสมดุลของแห่งพลังงานต่างๆ เพื่อในอนาคตลูกหลานของเราจะได้มี น้ำ ไฟ เครื่องอุปโภคบริโภคใช้ต่อไปครับ”

แด๊กซ์ (DAKS) แนะนำ คอลเล็คชั่นใหม่ “Slim fit”

แด๊กซ์ (DAKS) แบรนด์แฟชั่นเครื่องแต่งกาย จากเมืองผู้ดีอังกฤษ นำเสนอ คอลเลคชั่นใหม่ “Slimfit” ในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 15 ซึ่งจัดขึ้น วันที่ 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 2554 ณ ศูนนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่ผ่านมาเพื่อตอบรับกระแสแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ของคนรุ่นใหม่ การใช้โทนสี Seasons check (โทนส้ม แดง น้ำเงินเข้ม) Color trend จากประเทศอังกฤษ สำหรับคุณผู้ชายและคุณผู้หญิง.

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

SMIRNOFF BANGKOK REMIX ปรากฏการณ์ความมันส์แห่งยุค ปลุกกรุงเทพฯ ให้มีจังหวะใหม่แบบรีมิกซ์

สเมอร์นอฟ (SMIRNOFF) เครื่องดื่มวอดก้าที่มียอดขายอันดับ 1 ของโลก จัดเต็มความมันส์ครั้งใหม่ในแบบ “รีมิกซ์” เพื่อสร้างสีสันใหม่ๆ ให้ไนท์ไลฟ์กรุงเทพฯ คึกคักอีกครั้งใน “SMIRNOFF BANGKOK REMIX” ยกขบวนศิลปินสุดฮอตทั้งไทยและต่างประเทศมาเปิดประสบการณ์ไนท์ไลฟ์สุดล้ำให้แฟนสเมอร์นอฟกว่า 2,000 คน ณ เซ็นเตอร์พอยท์สตูดิโอ สุขุมวิท 105 ไม่ว่าจะเป็น ซูเปอร์สตาร์สาว ทาทา ยัง, วงร็อคชื่อดัง สล็อต แมชชีน, สเมอร์นอฟซูเปอร์แบนด์ การรวมตัวเฉพาะกิจของศิลปินสุดแนวโดย ดีเจ ตุลย์ อพาร์เมนท์คุณป้า, DJ Spydamonkee, โป้ โยคี เพลย์บอย, สิงห์ Sqweez Animal และฟักกลิ้งฮีโร่ และอิมพอร์ต 3 สุดยอดดีเจอิเล็กโทรระดับโลก Make the girl dance, Belzebass และ Tom Deluxx บินตรงมายกระดับความมันส์ให้ชาวกรุงเทพฯ ขึ้นไปอีก คุณกมลาศ พัฒนาไพศาล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สเมอร์นอฟ กล่าวว่า “SMIRNOFF BANGKOK REMIX ถือเป็นประสบการณ์ความสนุกแห่งยุคที่ทุกคนได้ทำในสิ่งที่เคยทำ เพื่อเห็นโลกในแบบที่ไม่เคยเห็น ด้วยการมาร่วมมือกันรีมิกซ์จังหวะใหม่ให้ไนท์ไลฟ์ของกรุงเทพฯ ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่เปิดตัวโปรเจ็กต์นี้ไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา เราได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากแฟนๆ สเมอร์นอฟในFacebook.com/SmirnoffThailand เรื่อยมาจนถึงวันนี้ซึ่งเป็นคืนแห่งการเฉลิมฉลองความสำเร็จของโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งบัตร 2,000 ใบที่เราแจกไปตอนนี้หมดเกลี้ยงและกลายเป็นของหายากไปแล้ว ขอบพระคุณทุกคนมากที่มาร่วมมือกันทำให้ไนท์ไลฟ์ของกรุงเทพฯ ได้มีสีสันใหม่ๆ นี่จะเป็นอีกค่ำคืนที่ทุกคนที่ได้มาจะกลับไปด้วยความรู้สึกว่าปาร์ตี้ของสเมอร์นอฟเป็นประสบการณ์ที่มันส์ไม่เหมือนใครจริงๆ สเมอร์นอฟมั่นใจว่าจะเดินหน้าสร้างสรรค์ประสบการณ์ไนท์ไลฟ์ในรูปแบบใหม่ๆ ให้แฟนๆ อยู่เสมอ” นอกจากรายชื่อของบรรดาศิลปินสุดฮอตทั้งไทยและต่างประเทศที่สร้างความน่าตื่นเต้นแล้ว เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านั้นคือการนำเพลงฮิตของพวกเขามารีมิกซ์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งเป็นรูปแบบพิเศษสุดที่ไม่เคยมีมาก่อน และหาดูได้จากงาน SMIRNOFF BANGKOK REMIX งานเดียวเท่านั้น มณฑล จิรา ผู้เชี่ยวชาญด้านไนท์ไลฟ์ของกรุงเทพฯ และคิวเรเตอร์ ผู้ดูแลโปรเจ็กต์ กล่าวว่า “ทุกคนคงเคยได้มีประสบการณ์รีมิกซ์เพลง ‘ใกล้’ ของ Scrubb, เพลง ‘ผ่าน’ ของสล็อต แมชชีน และเพลง ‘ช็อต’ ของทาทา ยังในแบบฉบับของคุณมาแล้ว และคงเคยฟังในเวอร์ชั่น BANGKOK REMIX ที่ผมเป็นคนรีมิกซ์ วันนี้ทุกคนจะได้มาแดนซ์กับรีมิกซ์เวอร์ชั่นของเพลงเหล่านั้นกันแบบสดๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันส์กว่าที่คุณเคยฟังหลายเท่า หวังว่าทุกคนคงจะจดจำคืนนี้ไปอีกนานนะครับ” ทาทา ยัง ซูเปอร์สตาร์สาวสุดฮอตที่จะขึ้นโชว์ในค่ำคืนนี้กล่าวว่า “ทาทารอคืนนี้มานานแล้ว ในที่สุดก็มาถึงเสียที โชว์ที่ทาทาเตรียมไว้บอกได้คำเดียวว่าเจิดมากค่ะ เป็นเพลงของทาทาเองแต่มาในรูปแบบรีมิกซ์ซึ่งทาทาไม่เคยร้องมาก่อน และเพื่อนๆ จะได้มาฟังที่นี่เป็นที่แรกและที่เดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ดีใจกับทุกคนที่หาบัตรกันมาได้นะคะ ส่วนคนที่พลาด ไม่เป็นค่ะ ติดตามความมันส์ครั้งใหม่ได้ที่ Facebook.com/SmirnoffThailand ไม่แน่ว่าปาร์ตี้ครั้งต่อๆ ไปทาทาอาจจะโผล่ไปแดนซ์อยู่ข้างๆ คุณก็ได้ค่ะ” ไม่เพียงเท่านั้น สเมอร์นอฟยังเนรมิตเซ็นเตอร์พอยท์สตูดิโอให้กลายเป็นอาณาจักรไนท์ไลฟ์ ด้วย Art Installation เครื่องดนตรีขนาดยักษ์ที่จะเปิดให้คุณได้เดินเข้าสู่โลกของเสียงเพลงที่เร้าใจ รวมทั้งยังมี 3D Mapping เท่ๆ บนเวทีที่เต็มไปด้วยเทคนิคแสงสีเสียงที่จะช่วยเร่งอุณหภูมิความมันส์ให้ทะยานขึ้นไปถึงขีดสุดอีก พระเอกของงานอีกหนึ่งอย่างที่ขาดไม่ได้คือ เครื่องดื่มวอดก้าสูตรพิเศษที่คิดค้นมาเพื่อค่ำคืนแห่งการรีมิกซ์โดยเฉพาะ เริ่มจาก Bangkok Green Apple Tea ที่ดึงเอารสชาติของชาดำเย็น เครื่องดื่มขาประจำของคนกรุงเทพฯ มารีมิกซ์รสชาติใหม่ให้มันส์สะใจเหมาะกับการปาร์ตี้มากกว่าเดิม รวมทั้ง Bangkok Mango Splash ที่สาดความอร่อยใส่คุณไม่แบบไม่ยั้งด้วยรสชาติของมะม่วง ผลไม้เมืองร้อนของทานเล่นคู่ปากคนกรุงเทพฯ แต่คราวนี้คุณจะรู้ได้ว่ามะม่วงกับวอดก้านั้นไปด้วยการได้ดีกับดนตรีมันส์ๆ แค่ไหน และอีกหนึ่งไฮไลท์หมัดเด็ดของ SMIRNOFF BANGKOK REMIX คือ “RFID” เทคโนโลยีสุดล้ำที่จะเชื่อมโยงให้เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊กของคุณได้รับรู้ถึงความสนุกของค่ำคืนนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือเครื่องดื่มที่คุณชอบที่สุดในงาน รวมทั้งสามารถทำให้คุณอัพโหลดรูปของคุณขณะกำลังสุดเหวี่ยงกับปาร์ตี้ได้ทันที ติดตามภาพบรรยากาศความสนุกของ “SMIRNOFF BANGKOK REMIX” และตามติดความมันส์ครั้งต่อๆ ไปของสเมอร์นอฟได้ที่ Facebook.com/SmirnoffThailand ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เห็นโลกในแบบที่ไม่เคยเห็นไปกับ SMIRNOFF BANGKOK REMIXBE THERE!!!

“FIGHT CANCER TOGETHER” (สู้มะเร็งไปด้วยกัน) รพ.บำรุงราษฎร์

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน “FIGHT CANCER TOGETHER” (สู้มะเร็งไปด้วยกัน) รู้ทันมะเร็งร้าย ตั้งแต่สัญญาณเตือนไปจนถึงเทคโนโลยีการรักษาด้วยสื่อ Interactive ร่วมด้วยการบรรยายจากแพทย์หลากเรื่องวิทยาการรักษามะเร็ง อาทิ รักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยเซลล์ต้นกำเนิด, รักษามะเร็งต่อมลูกหมากด้วยการฝังแร่ ฯลฯ พร้อมบริการปรึกษาเกี่ยวกับโรคมะเร็งชนิดต่างๆ กับนักโภชนากรนักกายภาพบำบัด และเภสัชกร พบบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นฟรี!วันที่ 21-25 กรกฎาคม 2554 ที่ แฟชั่นฮอลล์ชั้น 1 ศูนย์การค้าดิเอ็มโพเรียม

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“ซูบารุ” จัดกิจกรรม “Subaru Impreza Challenge Thailand 2011”

กลับมาอีกครั้งกับการแข่งขัน “Subaru Impreza Challenge Thailand 2011 – แตะรถ ชิงรถ บันลือโลก” ตามหา 10 คนแกร่ง หัวใจอึด ที่จัดโดยบริษัท มอเตอร์ อิมเมจ ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ซูบารุอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2554 เวลา 9.00 – 19.00 น. ณ ลานกิจกรรม Square B ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อค้นหาสุดยอดคนไทยแกร่ง 10 คน เดินทางไปแข่งขันระดับภูมิภาคในรายการ The MediaCorp Subaru Impreza Challenge 2011 – The Asian Face-off ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อชิงรางวัลใหญ่รถยนต์ Subaru Impreza WRX 2.5 sedan มูลค่า 2.4 ล้านบาท ซึ่งคาดจะมีผู้สนใจแห่มาสมัครเข้าร่วมทดสอบเพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยเพียบ นายอภิชัย ธรรมศิรารักษ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มอเตอร์ อิมเมจ ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า กิจกรรม Subaru Impreza Challenge Thailand นั้นริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2008 เป็นครั้งแรก และได้จัดต่อเนื่องกันมาทุกปี จนกระทั้งมาถึงปีนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว วัตถุประสงค์หลักเพื่อค้นหา 10 คนแกร่ง หัวใจอึด เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันแตะรถยนต์ Subaru Impreza ร่วมกับตัวแทนที่ได้รับการคัดเลือกจากกลุ่มบริษัท มอเตอร์ อิมเมจ ซูบารุ อีก 9 ประเทศด้วยกัน ประกอบด้วย จีน, กัมพูชา, ฮ่องกง, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, เวียดนาม และสิงคโปร์ รวมผู้แข่งขันประมาณ 500 คน ในรายการ The MediaCorp Subaru Impreza Challenge – The Asian Face-off ที่ประเทศสิงคโปร์ สำหรับการแข่งขัน 3 ปีที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ที่สนใจสมัครร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ซึ่งในปีนี้ทางบริษัทฯ ก็มุ่งหวังว่าให้กิจกรรมนี้จะเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น และมีผู้สนใจเข้ามาสมัครกันอย่างคับคั่งเช่นทุกปีที่ผ่านมา โดยการแข่งขัน The MediaCorp Subaru Impreza Challenge - The Asian Face-Off ที่ประเทศสิงคโปร์ นั้นตั้งแต่จะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม ถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2554 หรือจนกว่าจะได้ผู้ชนะเลิศ คนแกร่ง หัวใจอึด ที่แตะรถได้นานที่สุด เพียงคนเดียวเท่านั้น ตัวแทนประเทศไทยที่ผ่านการคัดเลือกทั้ง 10 คน จะได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-สิงคโปร์, พ๊อกเกตมันนี่, พร้อมที่พักฟรีตลอดระยะเวลาการแข่งขัน รางวัลชนะเลิศสำหรับผู้ที่แตะรถได้นานที่สุดจะได้รับสุดยอดรถยนต์สมรรถนะสูง Subaru Impreza WRX 2.5 Sedan มูลค่า 2,428,000 บาท จำนวน 1 คัน เป็นรางวัลสูงสุด นายอภิชัย กล่าวต่อไปว่า สำหรับผู้ที่พลาดรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันดังกล่าว แต่สามารถแตะรถได้นานที่สุดระหว่างกลุ่มคนไทยด้วยกัน จะได้รับรางวัลเงินสด จำนวน 1,000 สิงคโปร์ดอลล่าร์ หรือประมาณ 23,500 บาท ผู้เข้าแข่งขันที่สามารถแตะรถได้นานที่สุด ในผู้แข่งขันจากทั้งหมด 8 ประเทศ ไม่นับรวมผู้แข่งขันจากประเทศสิงคโปร์ จะได้รับรางวัลเงินสดเพิ่มอีก 5,000 สิงคโปร์ดอลล่าร์ หรือประมาณ 117,500 บาท และรางวัลเงินสด สำหรับผู้เข้าแข่งขันประเภททีม จำนวน 10,000 ดอลล่าสิงคโปร์ หรือประมาณ 235,000 บาท โดยจะนำเวลาในการแตะรถรวมกันของผู้เข้าแข่งขันจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียทั้ง 9 ประเทศ ซึ่งหากประเทศใดทำเวลารวมกันได้นานที่สุด จะเป็นทีมที่ได้รับรางวัลไป ภารกิจ “แตะรถ ชิงรถ บันลือโลก” ค้นหาคนแกร่ง หัวใจอึด Subaru Impreza Challenge Thailand 2011 จะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2554 ณ ลานกิจกรรม Square B ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยในงานนี้ซูบารุได้จัดกิจกรรมต่างๆ ไว้ให้ผู้ร่วมงานได้รับ ความสนุกสนานมากมาย อาทิ เกมส์มันส์ๆ พร้อมรับของที่ระลึกจากซูบารุ ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรมหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม เพียงคลิกมาที่ www.subarufun2011.in.th หรือโทร. 081-123-4785 ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 10 กันยายน 2554

KBANKร่วมBGHGออกCredit“ฝากสุขภาพคุณ...ให้เราดูแล"

ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ร่วมกับเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ หือ BGH เปิดตัวบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เสนอสิทธิประโยชน์ในการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร พร้อมเอกสิทธิ์มากมาย ตั้งเป้ายอดบัตร 150,000 ใบใน 3 ปี มูลค่าการใช้จ่ายกว่า 16,000 ล้านบาท นายแพทย์ชาตรี ดวงเนตร ประธานคณะผู้บริหาร ศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ เผยว่า การร่วมมือกันทางธุรกิจสำหรับบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทยในครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งความมุ่งหมายในการพัฒนาความพึงพอใจให้กับลูกค้าด้วยสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยจะนำเสนอสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดสูงสุดถึง 30% บริการรถพยาบาลฉุกเฉินฟรี สามารถอัพเกรดห้องพักผู้ป่วย ส่วนลด 50% สำหรับบริการเฮลิคอปเตอร์การแพทย์ฉุกเฉิน นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส KBANK กล่าวว่า ปัจจุบันมีกลุ่มผู้รักและใส่ใจในการรักษาสุขภาพเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องใช้บริการดูแลด้านสุขภาพกับโรงพยาบาลที่มี คุณภาพสูงสุด ธนาคารจึงออกบัตรเครดิตร่วมเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ-กสิกรไทย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ซึ่งบัตรเครดิตอยู่ภายใต้แนวคิด “ฝากสุขภาพคุณ...ให้เราดูแล" ได้รวบรวมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อาทิ รับส่วนลดเมื่อใช้บริการที่เครือโรงพยาบาลฯ ทุกแห่ง พร้อมรับความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล วงเงินคุ้มครองถึง 100,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ 3,000 บาทต่อครั้งแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง สิทธิพิเศษทางด้านการเงินจากธนาคารกสิกรไทย สำหรับบริการกู้สินเชื่อบ้านและบริการเงินฝาก รวมถึงสิทธิพิเศษจากร้านค้าพันธมิตรต่าง ๆ ที่ร่วมรายการ ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน สปา ฟิตเนส ร้านอาหาร โรงแรม บริการรถเช่า โดยธนาคารตั้งเป้าหมายของบัตรเครดิตร่วมดังกล่าว 5 หมื่นใบ ภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากนี้ และคาดหวังว่าจะขยายฐานผู้ใช้เพิ่มขึ้นเป็น 150,000 ใบในอีก 3 ปีข้างหน้า ด้วยมูลค่าการใช้จ่ายประมาณ 16,000 ล้านบาท

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทรัพย์สินจุฬา ฯ ผุดโมเดลสร้างสังคมเข้มแข็ง รอบรั้วจุฬาดึงชุมชน 5 ย่านสำคัญ เป็นต้นแบบ ผ่านโครงการ “สร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 5 ส

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ จัดโครงการ“ เสริมสร้างสุขภาพในชุมชน 5 ส” อันประกอบไปด้วย สยามสแควร์ สวนหลวง สามย่าน สีลม และสวนลุมพินี สานต่อยุทธศาสตร์ “เกื้อกูล” หลังประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา หวังเป็นโมเดลชุมชนต้นแบบ ด้านร้านค้าใน 5 ย่าน ตอบรับโครงการ เร่งพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อร่วมสร้างสังคม ชุมชนเข้มแข็ง ตามคำขวัญว่า “ชุมชนแข็งแรง ชุมชน 5 ส” ศ.นพ. ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โครงการ สร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 5 ส เกิดจากความร่วมมือของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย สำนักงานทรัพย์สินจุฬาฯ เพื่อร่วมพัฒนาเขตชุมชนพาณิชย์โดยรอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้เป็นชุมชนที่แข็งแรง ทั้งด้านชีวภาพและกายภาพ คือมีความปลอดภัย ความสะอาดของอาหาร มีสภาพแวดล้อมที่ดี ร้านค้ามีความเป็นระเบียบ เรียบร้อย สะอาดตา และที่สำคัญผู้คนในชุมชนมีสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง ซึ่งเป็นโครงการนี้เกิดขึ้นจากแนวทางยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยทางด้าน “เกื้อกูล” จากที่ได้กำหนดไว้ 6 ด้าน คือ “ก้าวหน้า ยอมรับ เข้มแข็ง มั่นคง เกื้อกูล และเป็นสุข” โดยมุ่งหวังเห็นชุมชนมีความเข้มแข็ง ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม กายภาพ ชีวภาพ สังคม อันจะเอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดี รวมทั้งเป็นการเสริมภาพลักษณ์ และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชนและมหาวิทยาลัย “มหาวิทยาลัยมีนโยบายที่จะมุ่งพัฒนาและสนับสนุนโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โครงการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 5 ส นับเป็นอีกโครงการที่แสดงเจตนารมณ์ของทุกฝ่ายที่ร่วมแรงร่วมใจในการขับเคลื่อนพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานทรัพย์สินจุฬาฯ คณะต่าง ๆ รวมไปถึงร้านค้าพาณิชย์ และชุมชนในย่าน 5 ส. ที่เร่งพัฒนาปรับปรุงจนผ่านเกณฑ์ของโครงการ ซึ่งจากการสานต่อโครงการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 2 มีร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 300 ร้านค้า และเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะสร้างความเชื่อมั่น และเข้มแข็งให้กับชุมชน จนสามารถเป็นต้นแบบของชุมชนน่าอยู่ได้อย่างแน่นอน” อธิการบดีกล่าว การดำเนินการโครงการ ตั้งแต่ปี 2553 – 2554 ที่ผ่านมานั้น สำนักงานฯ ได้จัดทำแนวทางการดำเนินงาน “โครงการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 5 ส” โดยมีเกณฑ์การ พิจารณาคัดเลือกโครงการ และดำเนินโครงการแล้วเสร็จ ในปี 2553 ที่ผ่านมา นั่นคือ 1. โครงการ “ สยามสแควร์ อาหารปลอดภัย รสชาติดี มีความสุข” หรือ Safe Food Good Taste Feel Happy @ Siam square” ซึ่งเป็นโครงการที่ห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ สำนักงานเขตปทุมวัน และสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ ทำการตรวจสุขลักษณะสถานประกอบการร้านอาหารบริเวณสยามสแควร์ โดยการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหารมาทำการตรวจสอบวิเคราะห์หาเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ 2. โครงการพัฒนาเครือข่าย สร้างเสริมสุขภาพช่องปาก ซึ่งเป็นโครงการจากภาควิชาทันตกรรม ชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โดยการส่งนิสิตชั้นปีที่ 5 ไปฝึกปฏิบัติงานทำโครงการสร้างเสริมสุขภาพช่องปากในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร บริเวณชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัย จำนวน 20 กว่าแห่ง ปี 2554 นี้ มีโครงการที่ทำต่อเนื่อง และเพิ่มเติมรวม 2 โครงการ คือ 1. โครงการ “อาหารปลอดภัย รสชาติดี มีความสุข” โดย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล สำนักงานเขตปทุมวัน ร่วมกับ สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาฯ ช่วยกันสานต่อ จากปีที่แล้ว และในปีนี้ได้ขยายพื้นที่ และกำลังดำเนินการ รณรงค์อย่างต่อเนื่องไปยังเขตชุมชน สวนหลวง สามย่าน 2. โครงการ “สร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุในพื้นที่สวนหลวงสามย่านและสยามสแควร์ ด้วยการ ออกกำลังกาย ชี่กง 18 ท่า” โดย วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาฯ ซึ่งกิจกรรมนี้ จะมีการสร้างผู้นำ ในการสาธิตการออกกำลังกาย จำนวนประมาณ 15 ท่าน เพื่อนำทักษะความรู้ไปเผยแพร่และฝึกสอนให้กับผู้ที่สนใจในชุมชน อันจะเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง นอกจากโครงการข้างต้นแล้วยังมีกิจกรรมสัมพันธ์ที่สำนักงานจัดการทรัพย์สินร่วมกับผู้ประกอบการบริเวณเขตพาณิชย์ โครงการบ้านนี้มีสุขจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหน่วยงานราชการในพื้นที่ อีกหลายโครงการ เช่น การทำความสะอาดพื้นที่บริเวณเชียงกง การสร้างเสริมสุขภาพโดยการออกกำลังกายแอโรบิค การบริจาคโลหิต กิจกรรมการตรวจสุขภาพ เป็นต้น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มุ่งมั่นที่จะผลักดันตนเองให้เป็นต้นแบบของมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยกำหนดนโยบายและแนวทางระยะยาวโดยใช้สุขภาวะและการสร้างเสริมสุขภาพเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนโดยรอบ รวมถึงการสร้างเครือข่ายและชุมชนคนรักสุขภาพเพื่อให้เกิดแรงผลักดันต่อเนื่องจากประชาคมต่อไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: แผนกประชาสัมพันธ์ สำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ โทร 02-281-3590 ต่อ 240

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

DAPPER โฉมใหม่เปิด “DAPPER Shop New Look” อีกก้าวหนึ่งในการพัฒนาแบรนด์ที่ไม่หยุดนิ่ง

แดปเปอร์ ได้ฤกษ์แกรนด์โอเพ่นนิ่ง “DAPPER Shop New Look” ภาพลักษณ์ใหม่ ทันสมัย อบอุ่น พร้อมเปิดตัว Collection ใหม่ล่าสุด “DAPPER TRIBAL TALES COLLECTION” การค้นพบมุมมองใหม่ของแฟชั่น ด้วยการเรียกสปิริตแบบชนเผ่าทั่วโลก และแดปเปอร์ภูมิใจนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ล่าสุด. “DAPPER Matching Property ศิริทิพย์ ศรีไพศาล ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า การที่เรามี Dapper Shop New Look นั้น เป็นการคิดค้นและพัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ที่มารองรับความต้องการของลูกค้า โดยรูปแบบและ concept จะเน้นให้เห็นถึงความเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เห็นความเป็นตัวตนของ แดปเปอร์ และพื้นที่จะสร้างความสะดวกสบายและผ่อนคลายให้กับลูกค้าของเรา ในระหว่างการเลือกซื้อสินค้า นอกเหนือจากนั้น แดปเปอร์ ขอแนะนำนวัตกรรมในแวดวงแฟชั่นใหม่ล่าสุด เพื่อเพิ่มความสนุกสนานและความเพลิดเพลินในการเลือกสินค้าในร้าน คือ DAPPER Matching Property ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เปรียบเสมือนเพื่อนที่ช่วยเลือกสินค้า และการ Mix & Match สินค้าประกอบการตัดสินใจที่ถูกต้อง และถูกใจลูกค้า ซึ่งการตอบสนองนี้สามารถทำให้ลูกค้าสัมผัสถึงความเป็น แดปเปอร์ได้มากขึเราได้ถือโอกาสนี้เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด “DAPPER Tribal Tales Collection” เพื่อเป็นการตอกย้ำความไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาในด้านแฟชั่น ซึ่งเราได้ค้นพบมุมมองใหม่ของแฟชั่น โดยการด้วยการเรียกสปิริตแบบชนเผ่ากลับมาอีกครั้ง ผ่านเครื่องแต่งกายและเครื่องหนังที่ผสานความหลากหลายของวัฒนธรรม แบบชนเผ่าทั่วโลก ทั้งลายพิมพ์แบบชนเตลอดจนถึงงานตกแต่งแฮนด์เมด ( handmade ) ในรูปแบบทันสมัย มีลูกเล่นแปลกตา ในงานมีเหล่าดาราและ Celebrities ที่มีชื่อเสียง ได้ให้เกียรติมาร่วมแสดงความยินดี อาทิ ชาร์มไอยวรินทร์ โอสถานนท์, ซัน พิชรดนย์ พึ่งพันธ์, แคทลียา อิงลิช, ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์, ไอซ์ อภิษฎา เครือคงคา, อู๋ นวพล ภูวดล, มิกค์ ทองระย้า, พล ตัณฑเสถียร, หมิว สิริลภัส กองตระการ, เอี๋ยม วรรษพร วัฒนากุล และ DAPPER Star, The Star 7 “ตูมตาม”, The Winner, The Trainer 3 “น้องเบลล์” DAPPER Shop New Look ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2เซ็นทรัล บางนา เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นเดือน กรกฎาคม 2554 และนี่เป็นอีกก้าวหนึ่งของ แดปเปอร์ และเราก็จะพัฒนาแบรนด์อย่างไม่หยุดยิ่ง เพราะเราเน้นถึงการมอบสิ่งที่ดีที่สุดและตอบสนองความต้องการให้กับแฟนพันธุ์แท้ของ แดปเปอร์” ศิริทิพย์กล่าว

“เลอซาช่า”เร่งเครื่องยึดตลาดไดร์เป่าผม ส่งน้องใหม่“พาวเวอร์โฟว์”เจาะใจสาวไทย ทำผมเองง่าย ๆ ที่บ้าน

“เลอซาช่า”เร่งเครื่องยึดตลาดอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมเมืองไทยเต็มสูบ หวังไล่บี้เบียดไดร์เป่าผม แบบเก่าตกตลาดในมูลค่าตลาดไดร์กว่า 3,000 ล้านบาท ส่งน้องใหม่ “เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์” เจาะใจสาวไทย ทำผมเองง่าย ๆ ที่บ้าน และดึง “หนูนา” นางเอกดังแห่งกวนมึนโฮเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมท้าสาวไทยทั่วประเทศ 100 คน แข่งทำผม ชิงรางวัลสร้อยคอทองคำรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท หวังดันยอดขายแบรนด์เลอซาช่า โตกระฉูด 28% ทำยอดขายทะลุ 700 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ นายวิรัช นอร์แมน กอว์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวรอน จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม “เลอซาช่า” ผลิตภัณฑ์แต่งผมคู่ใจของสาว ๆ ไทยทั่วประเทศ เปิดเผยว่า อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม “เลอซาช่า” ได้ทำตลาดในเมืองไทยมากว่า 10 ปีแล้ว และเป็นแบรนด์ที่คนไทยได้สร้างขึ้นมา และเป็นเจ้าแรกในการทำการตลาดกลุ่มอุปกรณ์จัดแต่งทรงผม ที่มีจำหน่ายทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดย Brand Vision ของเลอซาช่า ที่เราเน้นให้ลูกค้าของเราทำผมด้วยตัวเองและเปลี่ยนทรงผม ให้สวยล้ำ อินเทรนด์ ตลอดเวลา จึงทำให้สาวไทยสนุกสนานกับการใช้อุปกรณ์จากเลอซาช่า จึงทำให้เลอซาช่าครองใจสาวไทย โดยมียอดขายอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 8 แล้ว และเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอุปกรณ์จัดแต่งทรงผม ล่าสุดได้ออกไดร์แต่งผมใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์” (LE'SASHA Power4) เข้ามาทำตลาด เจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้หญิงทั่วไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่จะช่วยให้สาวไทยสวยล้ำอินเทรนด์ได้แบบง่าย ๆ ด้วยตัวเอง “เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์” (LE'SASHA Power4) เหมาะสำหรับคุณสาวๆ ที่ต้องการเปลี่ยนทรงผมตรง เป็นผมลอน สวยล้ำ อินเทรนด์ ซึ่ง ไดร์แต่งผม เลอซาช่า พาวเวอร์โพร์ จะช่วยเป่าผมให้สวยอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมจัดแต่งทรงผมได้หลากหลาย ทำให้ผมเป็นลอนสวย สปริงตัว อยู่ทรงนาน และยังช่วยให้ผมดูมี น้ำหนักมากขึ้น มีระบบไอโอนิค เหมาะสำหรับผมทุกประเภทโดยเฉพาะผมเส้นเล็กและบางที่ต้องการให้ผมดูหนา และเงางามที่มีถึง 4 หัวเปลี่ยน ให้เลือก แปรงม้วนสำหรับม้วนลอน, แปรงยืดผม, แปรงม้วนผมเพิ่ม วอลลุ่ม และหัวเป่าแบบเฉพาะที่ โดยมีจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป ในราคา 890 - 1,990 บาท นายวิรัช นอร์แมน กอว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “จุดมุ่งหมายของบริษัท คือ อยากให้ผู้หญิงทุกคนที่มีไดร์เป่าผมอยู่ที่บ้าน มีอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมเลอซาช่าหรือไดร์แต่งผม เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์ เป็นชิ้นที่ 2 ที่บ้าน หรือให้เปลี่ยนมาใช้สินค้าภายใต้แบรนด์ เลอซาช่า ที่มีความหลากหลาย และครบทุกความต้องการในเรื่องผม ของผู้หญิงทั้งหมด ซึ่งปลายปีนี้บริษัทยังมีแผนออกสินค้าใหม่ประเภทอุปกรณ์อบผมไอน้ำ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาดเสริมทัพด้วย และบริษัทฯ ยังจะมุ่งเน้นหาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้หญิงให้ได้มากที่สุด ซึ่ง “เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์” ก็ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ ที่น่าจะตอบสนองความต้องการของผู้หญิงได้ตรงจุดแล้ว เพราะสามารถแต่งผมได้ง่ายๆ เพียงแค่ใช้ไดร์แต่งผม “เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์” อันเดียว โดยไม่ต้องยุ่งยากและสามารถทำผมสวยเสร็จได้ภายใน 5-10 นาที” ด้านนายเดชฤทธิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท คิวรอน จำกัด กล่าวว่า จากการเติบโตของตลาดอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมในประเทศไทยยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 20% มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่ง “เลอซาช่า” ในฐานะผู้นำตลาดที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 60% หรือประมาณ 600 ล้านบาท บริษัทจึงเร่งรุกทำตลาดด้วยการออกสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาด เจ้าแห่งนวัตกรรมอุปกรณ์จัดแต่งทรงผม พร้อมทั้งรักษาฐานลูกค้าเก่า และเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ ด้วยการทุ่มงบกว่า 5 ล้านบาท ทำกิจกรรมส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ และดึงนางเอกดัง “หนูนา - หนึ่งธิดา โสภณ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ “เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์” และเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ บริษัทยังได้จัดกิจกรรมหนูนาท้าประลองผู้หญิงทั่วไทย ทำผมสวยแข่ง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ง่ายๆ หนูนาทำได้ คุณก้อทำได้” ชิงรางวัลสร้อยคอทองคำรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ในแคมเปญ “ไดร์แต่งผม ปะทะ ไดร์เป่าผม” เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและกระตุ้นยอดขายให้เข้าเป้าต่อเนื่อง หลังพบว่ามีโอกาสในการทำตลาดสูง เพราะปัจจุบันผู้หญิงไทยส่วนใหญ่อยากมีผมสวยและทำผมเองง่าย ๆ ที่บ้าน เนื่องจากต้องการประหยัด ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายเงิน เพราะจากการสำรวจพบว่าพฤติกรรมของผู้หญิงไทยเข้าร้านเสริมสวย เพื่อทำผมสัปดาห์ละ 3 ครั้งๆ ละ 100-200 บา “เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์” จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์เลอซาช่า อีก 10% เป็น 70-80% จากเดิมที่มีส่วนแบ่งตลาด 60% และเพิ่มยอดรายได้รวมของแบรนด์เลอซาช่าทะลุ 700 ล้านบาทในสิ้นปี 54 ทิ้งห่างคู่แข่งที่เป็นอินเตอร์แบรนด์ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ในระยะยาวยังคาดหวังเข้าไปแทนที่ตลาดไดร์เป่าผมซึ่งมีมูลค่ากว่า 3000 ล้านบาทด้วย นายเดชฤทธิ์ กล่าวต่ออีกว่า “แผนปีนี้บริษัทยังคงเน้นสร้างแบรนด์เลอซาช่าให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากเลอซาช่าเป็นเจ้าตลาดอุปกรณ์จัดแต่งทรงผมและมียอดขายอันดับ 1 ในตลาดต่อเนื่องมา 3 ปี คือปี 2551 - 2553 มียอดขายเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยปี 2552 เติบโต 23 %หรือ 430 ล้านบาท และในปี 2553 - 3 - เติบโต 28% หรือทะลุ 550 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าปี 2554 นี้ก็น่าจะมียอดขายอันดับ 1 เป็นปีที่ 4 ด้วย โดยมียอดขายเติบโต 27-28% ทะลุ 700 ล้านบาทตามเป้าหมาย เพราะมีสินค้าใหม่เลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์ ที่ตั้งเป้าเข้าไปแทนที่และแย่งชิงกลุ่มลูกค้ามาจากตลาดไดร์เป่าผม ที่สำรวจแล้วพบว่าทุกบ้านของคนไทยมีไดร์เป่าผมหมด นอกจากนี้ยังคงเน้นสอนให้ลูกค้าสามารถทำผมได้ด้วยตัวเองผ่านกิจกรรมเวิร์กช็อปที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี แบบตัวต่อตัวกับผู้เชี่ยวชาญจากเลอซาช่า” ทั้งนี้ สินค้าดังกล่าวได้เริ่มวางขายในตลาดตั้งแต่ต้นปี 54 ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ใช้หนูนา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นสินค้าตัวแรกของเลอซาช่า ที่ทุ่มใช้คนดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ช่วยขายสินค้าให้ แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการทำตลาดเกินคาด เพราะมียอดขายเติบโตต่อเนื่องทุกเดือน เดือนม.ค.ขายได้ 800-1,000 ชิ้น และเดือนมิ.ย.สามารถขายได้ถึง 5,000 ชิ้น หลังจากเปิดแคมเปญนี้คาดหวังว่ายอดขายเลอซาช่า พาวเวอร์โฟว์จะเพิ่มขึ้นเป็นเดือนละกว่า 10,000 ชิ้น ซึ่งน่าจะทำได้ไม่ยาก สำหรับยอดรายได้รวมของบริษัทคิวรอนฯ มาจากกลุ่มสินค้าแบรนด์เลอซาช่า 55% ยาสีฟัน“สปาร์คเคิลไวท์”15% เครื่องรีดถนอมผ้าไอน้ำ“แอทโฮม”และคิวรอนแบรนด์ 15% ที่เหลือ 15% มาจากกลุ่มสินค้าอื่นๆ คือ ชุดชั้นในกระชับสัดส่วนแบรนด์“ลีน่า”,อุปกรณ์กีฬา“เจสัน”,เครื่องถอนขน“เอ็มจอย” และผลิตภัณฑ์เจลหล่อลื่น“ฟอร์ฟัน”แต่กลุ่มสินค้าที่มียอดขายเติบโตสุด คือ เลอซาช่า จึงทำให้ปีนี้บริษัทเน้นรุกทำตลาดในกลุ่มสินค้า 3 แบรนด์หลัก คือ เลอซาช่า สปาร์คเคิลไวท์ และแอทโฮม โดยทั้งปีใช้งบทำตลาดประมาณ 20%ของยอดรายได้รวมบริษัท “สำหรับแผนการทำตลาดต่างประเทศปีนี้อยู่ระหว่างสร้างทีมงานใหม่ คาดว่าต้นปี 2555 จะสามารถบุกตลาดต่างประเทศได้อย่างจริงจัง โดยนำร่องที่ประเทศฮ่องกง มาเลเซีย ไต้หวัน และเวียดนามก่อน ซึ่งการบุกขยายตลาดต่างประเทศ ถือเป็นนโยบายของบริษัท ที่ต้องการให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศทั่วโลก” นายเดชฤทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

เปิดตัวสารสกัดจากถั่วขาว Phase 2 (Carb Controller)

เมื่อเร็วๆ นี้ เคมีโก้ อินเตอร์ คอร์ปอเรชั่น จัดเสวนาว่าด้วยการบริโภค Phase 2 สารสกัดจากถั่วขาว ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ทั่วโลกนำเข้าไปเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่มอาหาร รวมถึงอาหารเสริม ใช้ควบคุมอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต มีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก โดยผู้เชี่ยวชาญ เภสัชกร เชอร์รี่ โทร์โคส ผู้แต่งหนังสือ "Winning at Weight Loss" มาพูดคุยถึงเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี พร้อมเทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพทั่วโลกเภสัชกร เชอร์รี่ โทร์โคส ระบุว่า คนมีน้ำหนักตัวมากขึ้น เหตุออกกำลังกายและเดินน้อยลง กำลังเป็นเสมือนโรคระบาดที่ลุกลามไปทั่วโลก สาเหตุสำคัญประการหนึ่งเกิดจากภาวะ โภชนาการไม่สมดุล อันเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นโรคความดัน ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ดังนั้น วิธีป้องกันภาวะโรคอ้วนอย่างง่ายๆ จึงควรเริ่มต้นที่การรับประทานอาหารอย่างถูกต้องนั่นคือการควบคุมอาหารอย่างถูกวิธี ทั้งนี้ Phase 2 คือ สารสกัดจากถั่วขาวซึ่งมีสาร Phaseolamin มีฤทธิ์ในการทำให้เอ็นไซม์อะไมเลสเป็นกลาง ดังนั้น แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่บริโภคเข้าไปไม่สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้ ร่างกายจึงได้รับพลังงานจากแป้งน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งมีผลทำให้การสะสมของไขมันที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนรูปของน้ำตาลเป็นไขมันลดลงด้วย เมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยลงไม่เพียงพอกับความต้องการในแต่ละวันร่างกายจึงต้องเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้มากขึ้น จึงทำให้น้ำหนักลดลงโดยที่ไม่ต้องอดอาหาร และไม่มีผลกระทบกับสารอาหารชนิดอื่นๆ เพราะการทำงานของ Phase 2 จะยับยั้งกระบวนการเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลโดยแป้งที่ไม่ถูกย่อยจะทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มนานขึ้น จึงช่วยลดความอยากอาหารไปด้วยในตัว หลังจากนั้นแป้งจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายตามกลไกปกติ ดังนั้น การควบคุมการบริโภคคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่เหมาะสมต่อการใช้พลังงานในแต่ละวันโดยไม่เหลือสะสมไว้เป็นไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายจึงเป็นแนวทางที่ผู้รักสุขภาพทั้งหลายให้ความสนใจ เภสัชกร เชอร์รี่ โทร์โคส กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีการค้นคว้าเชิงลึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโรคอ้วนกับกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม และการใช้สารสกัดจากธรรมชาติเพื่อการลดน้ำหนัก จึงทำให้เกิดเทรนด์การบริโภคอาหารเพื่อควบคุมคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีตัวช่วยให้ง่ายขึ้นด้วยการบริโภคสารสกัดจากถั่วขาวร่วมกับมื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารหวานหรือคาว เพราะสารสกัดจากถั่วขาวจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยคาร์โบไฮเดรตให้เป็นน้ำตาล เมื่อแป้งไม่ถูกย่อยเป็นน้ำตาลก็จะไม่ถูกเปลี่ยนเป็นไขมันส่วนเกินเมื่อมีการรับประทานมากเกินความจำเป็น ในทางตรงกันข้ามการที่เอ็นไซม์ไม่ย่อยคาร์โบไฮเดรต ร่างกายก็จะต้องนำเอาไขมันที่เก็บสะสมออกมาใช้งาน จึงทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารสกัดตัวนี้มีน้ำหนักตัวลดลง ทั้งนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการควบคุมอาหารและการบริโภคอย่างถูกต้องคือกุญแจสำคัญสำหรับการมีสุขภาพที่ดีด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้โรคอ้วนกำลังระบาดอย่างหนักทั่วโลก สำหรับในประเทศในเอเชีย ประเทศไทย กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่น้ำหนักเกิน เป็นโรคอ้วน อัตราโรคอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้นจาก 5.8% ใน ค.ศ.1990 เป็น 13.3% ใน ค.ศ.1996 ประเทศญี่ปุ่น โรคอ้วนมีอัตราเพิ่มขึ้นเท่าตัว ตั้งแต่ ค.ศ.1982 อัตราโรคอ้วนสูงสุดในผู้หญิงอายุ 20-29 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทรัพย์สินจุฬาฯ ผุดโมเดลสร้างสังคมเข้มแข็งรอบรั้วจุฬาดึง ชุมชน 5ย่านสำคัญเป็นต้นแบบ ผ่านโครงการ สร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 5 ส

โครงการสร้างเสริมสุขภาพในชุมชน 5 ส. ได้แก่ สยามสแควร์ สวนหลวง สามย่าน สีลม และสวนลุมพินี จึงเกิดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสำนักงานจัดการทรัพย์สินกับชุมชนบริเวณรอบพื้นที่ของมหาวิทยาลัยและชุมชนใกล้เคียง เพื่อลดความขัดแย้งและความเครียด โดยการสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจรวมถึงการให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน เรื่องสุขภาวะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในระยะยาว โดยสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จับมือกับ "โครงการบ้านนี้มีสุข"จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดโครงการนำร่องด้วย "สยามสแควร์ อาหาร ปลอดภัย รสชาติดี มีความสุข" (Safe Food Good Taste Feel Happy @Siam square) และ "โครงการพัฒนาเครือข่าย สร้างเสริมสุขภาพช่องปาก"(Developing CU-Oral Health Promotion network : CU-OHP network) โครงการสยามสแควร์ อาหารปลอดภัยรสชาติดี มีความสุข เป็นโครงการที่ห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับสำนักงานเขตปทุมวันและสำนักงานจัดการทรัพย์สินฯ ทำการตรวจสุขลักษณะสถานประกอบการบริเวณสยามสแควร์จำนวน 150 แห่งโดยสุ่มเก็บตัวอย่างอาหารมาทำการตรวจสอบวิเคราะห์หาเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัยและแม่นยำในห้องปฏิบัติการวิจัยและทดสอบอาหารของคณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯ "โครงการนี้จะก่อประโยชน์ให้กับทั้งผู้ประกอบการอาหารและผู้บริโภค ทำให้ผู้ประกอบการอาหารได้ทราบถึงสุขลักษณะในสถานประกอบการของตนเอง มาตรฐานและความปลอดภัยของอาหาร จะได้นำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน ถูกสุขอนามัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการคุ้มครองสร้างความมั่นใจเรื่องอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ"ศ.นพ.ภิรมย์ กมลรัตนกุลอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

“ปตท. ผนึกกำลังมิตซู ญี่ปุ่น ตั้งบริษัท “พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม” โรงงานพลาสติกชีวภำพชนิด PBS จากน้ำตาล รายแรกของโลก”

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้นำด้านพลังงานและปิโตรเคมีของไทย ได้ร่วมทุนกับบริษัท มิตซูบิชิ เคมิคอล คอร์ปอเรชั่น ผู้นำธุรกิจอุตสาหกรรมเคมีและมีเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด PBS ในระดับเวิล์ดคลาส จากญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัท “พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม” เพื่อสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ ชนิด PBS จากน้ำตาลรายแรกของโลก ณ นิคม อุตสาหกรรมเอเชีย จังหวัดระยอง มีจุดเด่น คือ เป็นหนึ่งในโรงงานสีเขียวต้นแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่สารตั้งต้น กระบวนการผลิต จนถึงผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันสู่การเป็น “Bio Based Industrial Estate” อันนำไปสู่ “Green Society” ตามเป้าประสงค์ของกลุ่ม ปตท. และเพื่อเตรียมผลักดันไทยสู่การเป็น “ไบโอฮับ แห่งเอเชีย” โอกาสนี้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชน ร่วมรับฟัง รายละเอียดและศักยภาพบริษัท พีทีที เอ็มซีซี ไบโอเคม โดย คุณประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดร.ปรัชญา ภิญญาวัธน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ คุณฮิโรอากิ อิชิซูกะ Senior Managing Executive Officer บริษัท มิตซูบิชิ เคมิคอล คอร์ปอเรชั่น ณ ห้อง VA DRAWING โรงแรม พลำซ่ำ แอทธิณี ในวันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎำคม พ.ศ. 2554 เวลำ 15.30 -17.00 น. พร้อมเชิญร่วมพิธีเปิดบริษัท ณ ห้อง แกรนด์ ฮอลล์ เวลำ 18.30น. – 19.30 น

นิสสัน และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ขยายความร่วมมือ ผลิตรถกระบะนิสสันนาวารา ณ โรงงานผลิตรถยนต์ของมิตซูบิชิในประเทศไทย

โยโกฮามา / โตเกียว (13 กรกฎาคม 2554) –บริษัท นิสสัน มอเตอร์ จำกัด และ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ประกาศวันนี้ว่าทั้งสองบริษัทได้บรรลุข้อตกลงเรื่องการผลิตรถกระบะนิสสัน นาวาร่า ซึ่งเป็นรถกระบะขนาด 1 ตัน รุ่นล่าสุดของนิสสัน ณ โรงงานงานผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ประเทศไทย โดยการผลิตภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวจะเริ่มอย่างเป็นทางการในปี 2555 นี้ สำหรับการผลิตในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเพื่อขยายขอบเขตความร่วมมือระหว่างทั้งสองบริษัทซึ่งจัดทำขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา และเป็นการดำเนินงานตามข้อตกลงภายหลังจากการประกาศความร่วมมือในบริษัท NMKV จำกัด เพื่อพัฒนารถยนต์ขนาดเล็กสำหรับจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นของทั้ง 2 บริษัท เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา สำหรับความร่วมมือด้านการผลิตรถกระบะในครั้งนี้คาดว่าจะสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันให้กับทั้งสองบริษัทได้เป็นอย่างดี

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นิตยสารสุขภาพดี 4th anniversary & love your health

งาน 4th anniversary & love your health 2011 @ สยามพารากอน ใครอยากไปร่วมเรียนรู้การออกกำล​ังกายแนวใหม่ที่มิกซ์แอนด์แม็กซ​์การเต้นสไตล์ลาติน บัลเล่ต์ กระชับคอ เอว ต้นขา แบบง่ายๆไปกันได้มีสอนฟรีทุกวัน​ เวลาประมาณ 15.00น.งานนี้ร่วมงานฟรีทุกวัน 10.30-21.00 น. เจอกัน 12-17 ก.ค. นี้ ชั้น 1 แฟชั่นฮอลล์ สยามพารากอน (ดาราที่มาร่วมงานแถลงข่าวเมื่อว​านที่งานพารากอนมี แพนเค้ก, น้ำฝน พัชริทร์ ควงมาเป็นคู่กับอาร์ต พสุ, บี๋ สวิส, แหม่ม แคทรียา, จอย รินลณี, บีม กวี, มิ้ม อัมราภรณ์, เอ พศิน, พี่กอบสุข, พี่ท็อป ดานรานีนุช เป็นพิธีกร )

เปิดตัว นิตยสาร Waltz magazine

slow life is beautiful ชวนทุกคนมาใช้ชีวิตให้เพลิดเพลิน แต่เรียบง่าย แบบจังหวะ waltz เราลองหันมานึกคิดพิจารณาชิวิตแต่ละวัน และทำให้ทุกๆ วันเป็นวันที่มีความสุขดีไหมครับ เพราะชีวิตของเรามันเเสนสั้นและไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้อย่างแท้จริงว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง บางคนพยายามจะล่วงรู้ถึงอนาคตด้วยการ ดูพยาการณ์อากาศ เช็คหุ้น หรือดูดวง เป็นการดีที่จะรู้ไว้เพื่อเตรียมตัวและไม่ประมาท --แต่ทว่า ถ้าติดกับการคิดถึงอนาคตมากเกินไป จะเป็นการทำลายความสุขในปัจจุบันไปเสียหมดได้โลกอันสวยงามของเรา ...กำลังเข้าสู่ความเร่งรีบวุ่นวายชวนปวดหัวอย่างทุกวันนี้ ส่วนนึงก็มาจาการที่มนุษย์คิดถึงอนาคตกันมากเกินไป พยามจะเอาชนะธรรมชาติ พยายามย่นย่อเวลาและทุกสิ่งให้สั้นกระชั้นชับ จนพวกเราหลายคนต้องหลุดออกจากวิถีชีวิตธรรมชาติอย่างที่มนุษย์ปกติควรจะเป็นหรือได้รับบ้างwaltz จึงพยายามที่จะเสนอเรื่องราวของโลกสองใบ คือ 'โลกภายนอก' และ 'โลกภายใน''โลกภายนอก' คือ เรื่องราวสวยงามเก๋ไก๋รอบๆ ตัวเรา ตามกระแสทุนนิยมที่เราไม่ได้ปฎิเสธแต่อย่างใด แต่ก็อยากจะอยู่ร่วมด้วยความสุขใจ 'โลกภายใน' ก็คือเรื่องของจิตใจเรา เรียนรู้ที่จะสวยและสุขจากภายใน และก็ไม่ลืมที่จะนึกถึงสังคมและธรรมชาติwaltz คือ นิตยสารเล่มนึง ที่คอยกระซิบบอกมิตรอ่านว่า "มีความสุขกับชีวิตนะจ้ะ ใช้ชีวิตอย่างช้าๆ แต่กลมกล่อม และเมื่อเรามีความสุขแล้ว ก็อย่าลืมแบ่งปันสุขนั้นให้กับคนอื่นๆ บ้าง แล้วเราจะพบกับความสุขอิ่มเอิบที่แท้จริง"

ยูเซอริน จัดกิจกรรม “Skin Care Revolution Without Thinning Skin”

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.2011 ณ ตรัยยา (TRIA) ศูนย์สุขภาพแบบองค์รวม ตั้งอยู่ด้านหลังโรงพยาบาลปิยะเวท ถนนพระรามเก้า “ยูเซอริน”ผลิตภัณฑ์เวชสำอางค์ชั้นนำที่ได้รับความไว้วางใจจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังทั่วโลก ขอเรียนเชิญท่านเข้าร่วม
กิจกรรม“Skin Care Revolution Without Thinning Skin” ปลอดภัย...ไร้สารทำให้ผิวบาง ซึ่งถือเป็นกิจกรรมแรกแห่งปี จากยูเซอริน ภายงานท่านจะได้พบกับกิจกรรมและความรู้ที่ จะทำให้ท่านรู้จักผิวบางยิ่งขึ้น พร้อมปฎิวัติความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับผิวพรรณ รวมไปถึงวิธีการดูแลและป้องกันผิวบางอย่างถูกวิธี โดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและผู้บริหารจากยูเซอรินที่พร้อมจะตอบทุกคำถามให้กับท่าน ยูเซอริน ไวท์ ซีรั่ม อ่อนโยน แต่อุดมด้วยคุณค่า จาก 10 สารบำรุง และอาหารผิว สำหรับผิวผสมถึงผิวมันไวต่อแดด และผิวธรรมดาถึงผิวแห้งไวต่อแดด เพื่อการดูแลผิวแบบผู้เชี่ยวชาญ ด้วยอนุภาคซีรั่มที่เล็กกว่าครีมถึงครึ่ง ซึมลึก ตรงเข้าฟื้นบำรุงผิวจากปัญหาผิวคล้ำเสีย เน้นการทำงานร่วมกับผิว ลดการสร้างเม็ดสีที่จุดกำเนิดตามธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมปกป้องผิวจากแสงแดด ลดเลือนจุดด่างดำ ผิวคล้ำเสีย ให้กลับขาวใส สุขภาพดียาวนาน ไม่ไวต่อแดด ไม่กลับมาคล้ำเสียอีกต่อไป เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มยูเซอริน ไวท์ โซลูชั่น มีดังนี้White Solution Oil-Control Gentle Cleansing Foam (ขนาด 150 มล.) มูลค่า 780 บาท White Solution Gentle Cleansing Gel (ขนาด 150 มล.) มูลค่า 780 บาท White Solution Whitening Treatment Cream SPF20 (ขนาด 50 มล.) มูลค่า 1,590 บาท White Solution Night Treatment (ขนาด 50 มล.) มูลค่า 1,690 บาท White Oil-Control Night Gel (ขนาด 50 มล.) มูลค่า1,690 บาท White Solution Extra Treatment Fluid SPF 40 (ขนาด 50 มล.) มูลค่า 1,690 บาท White Oil-Control Day Fluid SPF30 (ขนาด 50 มล.) มูลค่า 1,620 บาท White Solution Extra Treatment Serum Combination to Oily skin (ขนาด 30 มล.) มูลค่า 1,940 บาทWhite Solution Extra Treatment Serum Normal to Dry skin (ขนาด 30 มล.) มูลค่า 1,940 บาท White Solution Eye Treatment (ขนาด15 มล.) มูลค่า 1,260 บาท White Solution Whitening Body Lotion SPF7 (ขนาด 250 มล.) มูลค่า 375 บาท ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ Eucerin Skin Expert center โทร 0-2297-2284 หรือ www.Eucerin.co.th หรือ www.Eucerin-club.com และ www.facebook.com/EucerinClub

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ลาแมร์ เนรมิตดินเนอร์หรูแนะนำ The Radiant Serum ผลิตภัณฑ์เพื่อมอบความรู้สึกเปล่งปลั่งแห่งผิว

ลาแมร์ นำเสนอผลิตภัณฑ์ล่าสุดจากนวัตกรรมอันทรงคุณค่าโดย สถาบันวิจัยแมกซ์ ฮูเบอร์ The Radiant Serum ที่ออกแบบเพื่อเสริมความรู้สึกเปล่งปลั่งสู่ผิว โดยเนรมิตเอ็กซ์คลูซีฟดินเนอร์สำหรับแขกวีไอพีระดับ A-List ของเมืองไทยให้ได้สัมผัสความอัศจรรย์แห่งประกายผิวสวย ในวันอังคารที่ 12 กรกฎาคม 2554 ณ ห้องรอยัลมณียา บอลรูม โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ บรรยากาศในงาน ลาแมร์ได้เนรมิตห้องรอยัลมณียา บอลรูม ให้กลายเป็นห้องดินเนอร์สุดหรู แบบ Water Room สร้างบรรยากาศให้แขกผู้มีเกียรติเสมือนร่วมรับประทานอาหารใต้ท้องทะเล อันโอบล้อมไปด้วยส่วนผสมหลักที่ลาแมร์นำมารังสรรค์ในผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดนี้ พร้อมเชื้อเชิญบรรดาแขกวีไอพี และเซเลบริตี้ชื่อดังของเมืองไทย เข้าร่วมพิสูจน์ความอัศจรรย์แห่งการปรนนิบัติผิวพรรณจาก The Radiant Serum ที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อผิวสวย เปล่งปลั่งกันอย่างคับคั่ง พร้อมกันนี้ ลาแมร์ได้สร้างสรรค์ความประทับใจแห่งค่ำคืนด้วยเซอร์ไพรส์แสนพิเศษจากนักร้องกิตติมศักดิ์ จิตสุภา วัชรพล เซเลบริตี้สาวรุ่นใหม่ กับความสามารถในการขับกล่อมบทเพลงอันไพเราะ พร้อมเซเลบริตี้หนุ่มหล่อเสียงดี สันต์ ภิรมย์ภักดี ร่วมด้วยนักร้องหนุ่มขวัญใจสาวๆ ตลอดกาล ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ ที่มาสร้างความบันเทิงให้อยู่ในความทรงจำไม่รู้ลืม ปิดท้ายด้วยเซอร์ไพรส์จาก ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ไซม่อน ที่ให้เกียรติมาร่วมบอกเล่าถึงความผูกพันที่มีต่อลาแมร์ พร้อมเบื้องหลังการถ่ายโฆษณาแคมเปญใหม่ ในฐานะหนึ่งในลาแมร์ แอมบาสเดอร์ ผ่าน VTR เยาวอนงค์ ชนะวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป ผลิตภัณฑ์ลาแมร์ กล่าวว่า “จากการเผชิญกับสภาวะแวดล้อม การใช้ชีวิตและกระบวนการทางเคมีที่ทำร้ายผิวอยู่ตลอดเวลา ผิวจึงเริ่มแสดงออกถึงสัญญาณความร่วงโรย ในรูปแบบของจุดด่างดำ ผิวหน้าหยาบกร้าน สีผิวไม่เรียบเนียน และผิวที่ดูไม่กระชับ ซึ่งล้วนต้องการการบำรุง ด้วยความเข้าใจในเรื่องพลังของน้ำและความสามารถของน้ำที่มีผลต่อสภาพผิว ลาแมร์ก้าวสู่ยุคใหม่ของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ในการแนะนำเทคโนโลยีลิขสิทธิ์ Deconstructed Waters TM ที่ทำให้ส่วนผสมหลักของผลิตภัณฑ์ซึมสู่ผิวเพื่อให้เกิดประโยชน์เต็มประสิทธิภาพ ลาแมร์มักจะสรรหาแรงบันดาลใจจากท้องทะเล และวันนี้ ลาแมร์ได้นำเทคโนโลยีอันก้าวล้ำไปอีกขั้น สร้างสรรค์ใน The Radiant Serum เพื่อเสริมการส่งผ่านการบำรุงเพื่อผิวดูกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติสู่เซลล์ผิวชั้นบนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยค่ำคืนนี้นอกจากบรรดาแขกผู้มีเกียรติจะได้ดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสเคล้าคลอด้วยเสียงเพลงอันไพเราะแล้ว ทุกท่านยังได้สัมผัสและร่วมทดลองผลิตภัณฑ์ก่อนใคร กับ The Radiant Serum โดยแขกผู้มีเกียรติต่างชื่นชอบกับเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เบา สบาย ซึมสู่ผิวอย่างรวดเร็ว พร้อมความรู้สึกชุ่มชื้น ด้วยส่วนผสมของRadiant Waters TM จากส่วนผสมที่แตกต่างกัน 3 ชนิดรวมกัน ได้แก่ The Resurfacing Waters TM ช่วยเสริมการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกตามธรรมชาติ, The Pore Refining Waters TM ช่วยให้ผิวดูกระชับเรียบเนียน และ The Oxygenating Waters TM ช่วยฟื้นบำรุงผิวที่ร่วงโรยให้แลดูสดใส ซึ่งทำงานร่วมกันกับ Brightening Ferment ที่ได้จากขั้นตอนการหมักบ่มที่พิถีพิถันจากสาหร่ายสีน้ำเงิน ช่วยให้จุดด่างดำแลดูลดเลือนลงให้ผิวดูเรียบเนียน กระจ่างใสอย่างอ่อนโยน เมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องผลิตภัณฑ์ The Radiant Serum (30 มล.) จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่เคาน์เตอร์ อะแควเรียมลาแมร์ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำในเดือนกรกฎาคม 2554 ราคา 12,000 บาท

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

SIAM DISCOVERY TREE LIFE

9 - 17 กรกฎาคม 2554 นี้พบกับไอเดียการสร้างสรรค์ผลงานจากสิ่งของเหลือใช้ ร่วมกันไอเดียรักษ์ธรรมชาติจากนิตยสาร Livingetc และศิลปินนักออกแบบแนวหน้า อาทิเช่น คุณป๊อก คบคงสันติภูมิสถาปนิก เจ้าของบริษัท T.R.O.P Landscape คุณบิ๊ก ปณิธาน ทองสถิตย์ เจ้าของร้านดอกไม้เรือนบุษบา คุณโอ่ง กงพัฒน์ ศักดาพิทักษ์ ศิลปินป๊อปอาร์ต แนวสร้างสรรค์ และพบกันมินิคอนเสิร์ต แบบอคูสติกกับศิลปิน แป้งโกะ และโอ ปวีร์ วันที่ 11 กรกฏาคม 2554 เวลา 14.00 น. SIAM DISCOVERY TREE LIFE @ Grand Hall Siam Discovery 1 FL.

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดตัว Murad Hydro - Dynamic™ Ultimate Moisture คืนความชุ่มชื่นสู่สาวผิวสวย

บริษัท ควีส จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย มิวราด (Murad) สกินแคร์แนวเวชสำอางแบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ‘Murad Hydro - Dynamic™ Ultimate Moisture’ ที่สุดแห่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ซึ่งสามารถเติมน้ำสู่ผิวได้ยาวนานถึง 8 ชั่วโมง โดยงานนี้ได้รับเกียรติจาก มร.เจฟฟ์ มิวราด เจ้าของและรองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท มิวราด อินคอร์ปอเรชั่น บินตรงมาร่วมงานที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรก เพื่อเผยถึงที่มาของวิทยาการที่ช่วยรักษาสมดุลของการกักเก็บน้ำภายในเซลล์ ซึ่งเหล่าเซเลบริตี้ และสาวสวยที่รักการดูแลผิว ได้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง พบกับผลิตภัณฑ์Murad Hydro - Dynamic™ Ultimate Moisture ขนาด 50 มล ราคา 3250 บาท ได้แล้ววันนี้ที่เคาน์เตอร์มิวราด ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ สยามพารากอน ดิเอ็มโพเรียม เซ็นทรัลบางนา เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ เดอะมอลล์ บางกระปิ เดอะมอล์งามวงศ์วาน เดอะมอลล์ บางแค โรบินสันรังสิต โรบินสันเซ็นทรัลพลาซ่าชลบุรี เป็นต้น

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สคบ.มอบรางวัลภาพยนตร์โฆษณาดีเด่นให้แก่ผู้ผลิตผลงานที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม ครั้งที่ 10

สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มอบรางวัลภาพยนตร์โฆษณาดีเด่นให้แก่ผู้ผลิตผลงานที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมโดยการไม่เอารัดเอาเปรียบ นายจตุรงค์ ปัญญาดิลก ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลการประกวดภาพยนต์โฆษณาดีเด่นทางโทรทัศน์เพื่อผู้บริโภคซึ่งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย จัดขึ้น ที่เซ็นเตอร์พ้อยท์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร ในโครงการ “ประกวดภาพยนตร์โฆษณาดีเด่นทางโทรทัศน์เพื่อผู้บริโภค หรือ สคบ.อะวอร์ด ครั้งที่ 10 “ เพื่อให้กำลังใจผู้ประกอบธุรกิจที่จัดทำโฆษณาด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและผู้บริโภค และส่งเสริมให้ผลิตงานดังกล่าวต่อไปซึ่งรางวัลชนะเลิศการประกวดประเภทสินค้า ได้แก่ เครื่องดื่ม โค้ก หรือ โคคา โคล่า โฆษณาชุด พ่อของฉัน รางวัลชนะเลิศประเภทบริการ เป็นหนังภาพยนตร์โฆษณาของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และรางวัลชนะเลิศประเภทส่งเสริมสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นของ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน โฆษณาชุด ดีนอกดีใน นอกจากนี้ยังได้มีการมอบโล่ให้กับสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยและตัวแทนองค์กรสื่อมวลชนต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนการประกวดในครั้งนี้ด้วย สำหรับโครงการดังกล่าว สคบ.ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ มีหน้าที่ตรวจสอบและกำกับดูแลการโฆษณาตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 และให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินครั้งนี้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

MONEY & BANKING AWARDS 2011 รางวัลเกียรติยศตลาดเงิน

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลเกียรติยศ MONEY & BANKING AWARDS 2011 ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2554 เวลา 19.00 น. ณ ห้องบอลรูม โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ เผยผู้จัดการ ธ.ก.ส. ลักษณ์ วจนานวัช รับแหน่งนักการเงินแห่งปี 2553 ด้านธนาคารกรุงเทพ คว้าธนาคารแห่งปี 2554 ธนาคารกสิกรไทย รั้งธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2554 ส่วนเอไอเอส แชมป์บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2554 พร้อมด้วย 20 สถาบันครองรางวัลบูธสวยงาม ในงาน Money Expo 2011 นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานและบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร เปิดเผยว่า วารสารการเงินธนาคาร จัดพิธีมอบรางวัลเกียรติยศ MONEY & BANKING AWARDS 2011 ขึ้นในปีนี้เป็นปีที่ 4 เพื่อยกย่องธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทจดทะเบียนที่มีผลงานยอดเยี่ยมในรอบปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย 5 สาขารางวัล ดังนี้ 1.รางวัลนักการเงินแห่งปี 2553 (Financier of the Year 2010) เป็นรางวัลที่เชิดชูความสำเร็จและยกย่องนายธนาคารและนักการเงินมีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการ ซึ่งมีเกณฑ์การตัดสินจากคุณสมบัติ 4 ด้านคือ 1. มีวิสัยทัศน์กว้างไกล 2. มีความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ 3. สร้างความเจริญเติบโตให้กับองค์กร และ 4.ทำคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคม ได้แก่ ลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 2. รางวัลธนาคารแห่งปี 2554 (Bank of the Year 2011) เป็นรางวัลที่มอบให้กับธนาคารพาณิชย์ที่มีผลประกอบการยอดเยี่ยมในรอบปี แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในผลประกอบการและการบริหารจัดการ ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 3. รางวัลธนาคารเพื่อลูกค้ารายย่อยแห่งปี 2554 (Best Retail Bank of the Year 2011) เป็นรางวัลจากการสำรวจผู้เข้าชมงาน มหกรรมการเงิน ครั้งที่ 11 Money Expo 2011 ที่แสดงความชื่นชอบและตัดสินใจเลือกใช้บริการมากที่สุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจสูงสุดในการได้รับบริการจากธนาคารและสถาบันการเงินที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 4. รางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2554 (Best Public Companies of the Year 2011) เป็นรางวัลที่มอบให้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยมในรอบปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการของบริษัทในภาพรวม ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) 5. รางวัลบูธสวยงาม งานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 11 Money Expo 2011 เป็นรางวัลที่มอบให้กับธนาคาร สถาบันการเงิน และองค์กรที่เข้าร่วมงานมหกรรมการเงิน ครั้งที่ 11 ที่ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการตัดสินรางวัลบูธสวยงาม ซึ่งประกอบด้วย ศิลปินแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม ศิลปกรรมและจิตรกรรม โดยมีเกณฑ์การตัดสินที่พิจารณาจากแนวความคิดรวมยอดและความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบและศิลปกรรม ประโยชน์ใช้สอย และการนำเสนอ ประกอบด้วย 4 ประเภทรางวัล ดังนี้ ? ประเภทพื้นที่ขนาดใหญ่ รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) รางวัลดีเด่น ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รางวัลความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ? ประเภทพื้นที่ขนาดกลาง รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) รางวัลดีเด่น ได้แก่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด รางวัลความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด ? ประเภทพื้นที่ขนาดเล็ก
รางวัลยอดเยี่ยม ได้แก่ กรมสรรพากร รางวัลดีเด่น ได้แก่ บริษัท ออสสิริส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) และ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) นายสันติกล่าวว่า รางวัลเกียรติยศ MONEY & BANKING AWARDS 2011 มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนความสำเร็จของธนาคาร สถาบันการเงิน และบริษัทจดทะเบียนให้เป็นทีประจักษ์แก่สังคม ซึ่งการมอบรางวัลดังกล่าว นอกจากจะเป็นการให้กำลังใจและเป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนภาคการเงินและภาคธุรกิจของไทยให้ก้าวหน้าไปสู่ความเข้มแข็ง มีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน อันจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

13 ปีคลิตี้ : ชีวิต สายน้ำ ความหวัง

เทศกาลศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน “ 13ปีคลิตี้ ชีวิต สายน้ำ ความหวัง ” รวมพลคนรักสิ่งแวดล้อม ศิลปะ และชุมชน ร่วมงาน “13 ปีคลิตี้ ชีวิต สายน้ำ ความหวัง” พบกับดนตรี ละคร ภาพถ่าย ภาพวาด ฝีมือจากใจของเด็กๆ และเยาวชน บอกเล่าเรื่องราวและความหวังของหมู่บ้านกะเหรี่ยงแสนไกลชายผืนป่าตะวันตก ซึ่งสารตะกั่วทำลายลำห้วยของหมู่บ้านเจ็บป่วยได้ไข้ไม่ได้กินไม่ได้ใช้มานับสิบๆ ปี พร้อมชมคอนเสิร์ต “บทเพลงเพื่อคลิตี้” โดย 2 ศิลปินแห่งชาติ หงาคาราวาน และ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กลุ่มสตรี
กาญจนบุรี กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ สมาคมปฏิรูปสื่อภาคประชาชน จังหวัดกาญจนบุรี และ ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคกาญจนบุรี ร่วมกับ โครงการพัฒนาการสื่อสารสุขภาวะชุมชนและสังคมที่เป็นธรรมของหมู่บ้านคลิตี้ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ เทศบาลเมืองกาญจนบุรี ขอเชิญร่วมเทศกาลศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน “13 ปี คลิตี้ ชีวิต สายน้ำ ความหวัง” ในวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน 2554 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไปที่ลานหน้าศาลา 60 พรรษาฯ “คลิตี้ล่าง” เป็นหมู่บ้านกะเหรี่ยงที่อยู่ลึกเข้าไปในป่า 200 กว่ากิโลเมตรจากตัวเมืองกาญจนบุรี ชาวบ้านมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติในดินแดนที่ความเจริญไปไม่ถึงมานานกว่าร้อยๆ ปี ชื่อ “คลิตี้” ในภาษากะเหรี่ยงแปลเป็นไทยว่า “เสือโทน” ตามตำนานที่เล่าถึงเจ้าแห่งเสือซึ่งสะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แต่เมื่อมีการเปิดเหมืองแร่และโรงแต่งแร่ได้ปล่อยสารตะกั่วจำนวนมหาศาลลงสู่ลำห้วย นำความตายและเจ็บไข้ได้ป่วยมาสู่ผู้คนในหมู่บ้านคลิตี้ล่าง จนปรากฏเป็นข่าวโด่งดังมาครบ 13 ปี ขณะที่คดีความยังไม่สิ้นสุดแม้เหมืองจะถูกปิดไปแล้ว ผลกระทบจากมลพิษยังไม่จางหาย ความหวังที่จะฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้ใสสะอาดดังเดิม ยังเป็นเสียงเพรียกที่รอคำขานรับ เป็นที่มาของการนำกระบวนการศิลปะสร้างการเรียนรู้ของเด็กๆ และเยาวชนคลิตี้ ให้สามารถสื่อสารเรื่องราวของหมู่บ้านสู่สาธารณะ แสวงหาความร่วมมือรวมใจในการคืนชีวิต คืนความหวังให้กับคนคลิตี้ ไม่ว่าจะเป็นการเวิร์คชอปงานศิลปะ โดย นักศึกษาและคณาจารย์มหาวิทยาลัยศิลปากร เครือข่ายอาจารย์ด้านศิลปะทั่วประเทศ เรียนรู้การถ่ายภาพกับช่างภาพสารคดีมืออาชีพ ผลิตหนังสั้นด้วยฝีมือเด็กๆ คลิตี้กับทีมงาน Thaishort Film รวมถึงฝึกซ้อมแสดงละครอย่างจริงจังและตั้งใจร่วมสามเดือนกับกลุ่มละครเพื่อการเรียนรู้บางเพลย์ “เทศกาลศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน “13 ปีคลิตี้ ชีวิต สายน้ำ ความหวัง” ประกอบไปด้วยสีสันหลากหลายของผลงานศิลปะและนิทรรศการภาพถ่ายชุด “นิทานหมู่บ้านคลิตี้ล่าง” หนังสั้นและละครสะท้อนวิถีชีวิต ถ่ายทอดความคิดจากใจเด็กๆ คลิตี้ บทเพลงไพเราะกินใจและหาฟังได้ยากจากเครื่องดนตรีพื้นบ้าน นาเด่ย และ เมตารี่ (พิณกับกีตาร์กะเหรี่ยง) พร้อมศิลปะรำตง ซึ่งได้รับการสานต่อโดยเยาวชนคลิตี้ก่อนที่จะสูญหายไปกับกาลเวลา ทั้งหมดนี้จะนำมาแสดงให้กับคนเมืองกาญจน์ ได้รับรู้และเข้าใจในผลกระทบของมลพิษจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ สนับสนุนเป็นกำลังใจให้กับชาวบ้าน คลิตี้ในการฟื้นฟูลำห้วย ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย รวมถึงระดมทุนก่อตั้งโรงเรียน ที่แต่เดิมเด็กๆ ต้องเดินทางไปเรียนไกลจากหมู่บ้านถึงสิบกว่ากิโลเมตรในแต่ละวัน” นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มสตรีกาญจนบุรี และ กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ ชี้แจงรายละเอียดกิจกรรมและวัตถุประสงค์ เด็กๆ และครอบครัว จะได้สนุกสนานกับกิจกรรมศิลปะเพื่อการเรียนรู้ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและชุมชน เช่น ผ้ามัดย้อมธรรมชาติ บาติก และ สายสร้อยร้อยใจ จากโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก กาญจนบุรี สมุดทำมือ Re-use นำขยะ Recycle เช่น ขวดพลาสติกหรือกระป๋องใช้แล้ว แลกทำ “เข็มกลัดแบบเดียวในโลก” กับกลุ่มรักยิ้มจากกรุงเทพมหานคร มุมความรู้ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ซุ้มเพื่อผู้บริโภค และ เยาวชนอาสาจากเครือข่ายในจังหวัดกาญจนบุรีอีกมากมาย จบท้ายด้วยลำนำกวีเคล้าเสียงขลุ่ย และ เสียงดนตรีสร้างกำลังใจมอบให้ทุกคน โดยสองศิลปินแห่งชาติ หงา คาราวาน และ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในคอนเสิร์ตครั้งพิเศษ “บทเพลงเพื่อคลิตี้” สำหรับคนรักสิ่งแวดล้อมเมืองกาญจน์โดยเฉพาะ พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ! ทุกอย่าง ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ พกพาหัวใจมาก็พอ พบกันวันเสาร์ที่ 18 มิถุนายนนี้ สี่โมงเย็นเป็นต้นไป ในเทศกาลศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน “13 ปีคลิตี้ ชีวิต สายน้ำ ความหวัง” ณ ลานหน้าศาลา 60 พรรษาฯ องค์กรร่วมจัด : สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา, โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม, มูลนิธิโลกสีเขียว, มูลนิธิเพื่อนชนเผ่า และ กลุ่มดินสอสี ร่วมกับ กลุ่มสตรีกาญจนบุรี กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ สมาคมปฏิรูปสื่อภาคประชาชน จังหวัดกาญจนบุรี และ ศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคกาญจนบุรี สนับสนุนโดย เทศบาลเมืองกาญจนบุรี สอบถามรายละเอียดได้ที่ กลุ่มดินสอสี โทร.086-623-2000

สิงห์ชวนดีไซเนอร์ประกวด'สิงห์ ไลฟ์ อวอร์ดส์ 2011' ครั้งที่ 2

"สิงห์ ไลฟ์" สานต่อโครงการ "สิงห์ ไลฟ์ อวอร์ดส์ 2011" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ชวนแฟชั่นนิสต้ารุ่นใหม่ทั่วประเทศ ที่มีใจรักงานออกแบบแฟชั่นและมีความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลงานความคิดสร้างสรรค์ในแบบฉบับของตัวเอง ร่วมส่งผลงานการออกแบบเครื่องแต่งกาย หรือแอคเซสเซอรี่ ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 4 แสนบาท ตั้งแต่นี้ไปจนถึง 31 กรกฎาคมนี้ ปรีดิ์รติ ภิรมย์ภักดี แบรนด์เมเนเจอร์ "สิงห์ ไลฟ์" เปิดเผยว่า "...หลังจากที่ปีที่แล้วได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ร่วมส่งผลงานเข้ามาประกวดกันมากมาย ทำให้เราเห็นว่า ยังมีนักออกแบบแฟชั่นรุ่นใหม่อีกจำนวนมากที่เปี่ยมด้วยศักยภาพและสามารถก้าวไปได้อีกไกลหากได้รับการสนับสนุน ขณะเดียวกัน การทำโครงการ "สิงห์ ไลฟ์ อวอร์ดส์ 2011" ต่อเนื่อง นอกจากเป็นเวทีให้คนรุ่นใหม่ได้โชว์ผลงานของตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว เรายังเปิดโอกาสให้พวกเขาเข้ามาเรียนรู้การทำงานจริงกับมืออาชีพในฐานะดีไซเนอร์ฝึกหัดของ "สิงห์ ไลฟ์" พร้อมทั้งเสนอโอกาสในการสร้างสรรค์ผลงานจริงออกสู่ตลาดด้วย" สำหรับคอนเซ็ปต์การส่งประกวดผลงานในปีนี้ คือ "SINGHA for LIFE" ประเภทสาขาการออกแบบเครื่องแต่งกาย ผู้เข้าประกวดจะต้องส่งแบบ 1 คอลเลคชั่นจำนวน 3 ชุด ประกอบด้วย Singha Work สำหรับสุภาพบุรุษ ชุดทำงาน, Singha Play สำหรับสุภาพบุรุษ ชุดลำลอง, Singha Lady Line สำหรับผู้หญิง ไม่ระบุประเภท และ ประเภทสาขาการออกแบบแอคเซสซอรี่ ผู้เข้าประกวดจะต้องส่งแบบ 1 คอลเลคชั่น จำนวน 3 ชิ้น ประกอบด้วย กระเป๋า เข็มขัด และ Free Play เครื่องประดับไม่ระบุประเภทผู้ผ่านการคัดเลือกรอบแรกจำนวน 40 ผลงาน (สาขาละ 20 ผลงาน) จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมเวิร์คช็อปเพื่อเรียนรู้การทำงานจริงในธุรกิจแฟชั่นกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงผลงาน ก่อนเข้ามาสอบสัมภาษณ์และนำเสนอผลงาน จากนั้นจะคัดเลือกให้เหลือ 20 ผลงาน (สาขาละ 10 ผลงาน) เพื่อรับเงินทุนคอลเลคชั่นละ 10,000 บาทไปผลิตชิ้นงานจริง แล้วนำมาจัดแสดงเป็นแฟชั่นโชว์ในวันตัดสินต่อไป โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัลเงินสด 100,000 แสนบาท พร้อมเซ็นสัญญาเป็นดีไซเนอร์ฝึกหัดกับแบรนด์ "สิงห์ ไลฟ์" เป็นเวลา 3 เดือน และผลงานออกแบบที่ได้รับรางวัลจะได้รับการผลิตเป็นผลงานจริงออกวางจำหน่ายเป็น "ยังก์ คอลเลกชั่น ลิมิเต็ด อิดิชั่น" ที่ร้านสิงห์ ไลฟ์ สาขาสยามเซ็นเตอร์ ชั้น 3 และสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2 อีกด้วย ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติ่มได้ที่ www.singhalife.com

การประกวด Miss Thailand Chinese Cosmos Pageant 2011

สำหรับการประกวดในประเทศไทย ในปีนี้ให้ชื่อว่า การประกวด มีสไทยแลนด์ ไชนีส คอสโมส์ 2011( Miss Thailand Chinese Cosmos Pageant 2011 ) ถือเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยี่งที่ บริษัท กลอรี่ไทยอินเตอร์คอนติเนนตัล จำกัด โดยนายยุทธนา แสงโสภา ในฐานะ กรรมการผู้จัดการ โดยความร่วมมือจาก เจียระไน เอนเตอร์เทนเม้นท์ ได้รับสิทธิเป็นผู้จัดงานการประกวด มีสไทยแลนด์ ไชนีส คอสโมส์ 2011( Miss Thailand Chinese Cosmos Pageant 2011) ในปีนี้ อย่างเป็นทางการ และถือเป็นครั้งสองของประเทศไทย

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อาดามัส เวิลด์ จัด การแข่งขัน Thailand Battle of The Year 2011

Battle of the YearBattle of the Year หรือเรียกย่อๆว่า BOTY เป็นการแข่งขันเต้น Breakdance ระดับโลกที่จัดขึ้นทุกปี จัดขึ้นครั้งแรกในเมืองฮันโนเวอร์ (Hannover) ประเทศเยอรมันนี ในปี 1990 ซึ่งได้รับความนิยมมากขึ้น และจัดการแข่งขันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทีมที่ชนะเลิศในการแข่งขัน Battle of the Year จะหมายถึงทีมที่ได้เป็นแชมป์โลกในปีนั้นๆ นั่นเองBattle of the Year Thailand Battle of the Year Thailand คือ การแข่งขัน Bboy เพื่อหาสุดยอดทีม Bboy ไทย ที่จะส่งไปแข่งขัน Battle of the Year ในเวทีโลก สำหรับ BOTY ในประเทศไทย ก็มีความนิยมมากขึ้นทุกปี ซึ่งมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2004 ดังนี้- ปี 2004เข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยได้ลิขสิทธิ์จัดการแข่งขัน Battle Of The Year South East Asia- ปี 2005จัดการแข่งขัน Battle Of The Year Thailand 2005 เป็นครั้งแรก และจัดการแข่งขัน Battle Of The Year South East Asia 2005- ปี 2006จัดการแข่งขัน Battle Of The Year Thailand 2006 เป็นครั้งแรก และจัดการแข่งขัน Battle Of The Year South East Asia 2005- ปี 2007จัดการแข่งขัน Battle Of The Year Thailand 2007 และเนื่องจากได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในเอเชีย จึงได้เปลี่ยนแปลงจากการแข่งขันระดับ South East Asia เป็นระดับ Asia โดยแชมป์ B-Boy ของประเทศไทย ได้เข้าร่วมการแข่งขัน และได้อันดับ 3 ของ Asia ที่ประเทศเกาหลี และยังได้อันดับ 5 ของ โลกที่ประเทศเยอรมัน- ปี 2008 ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน Battle Of The Year Asia- ปี 2009สร้างสถิติการมีผู้สมัครแข่งขันเต้น B boy จากทั่วประเทศ เข้าร่วมการแข่งขันมากที่สุด- ปี 2010Battle of the Year Thailand ได้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ในปี 2011 ทางคุณ สรรวรส พุทธเจริญ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด ในนามผู้ร่วมสนับสนุน โครงการ “ Battle of The Year 2011”กล่าวว่า เหตุผล หลักที่ ISUZU มองเห็นความสำคัญในการสนับสนุน เราคิดว่าหากทุกฝ่ายช่วยกัน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มีส่วนร่วมสนับสนุนเสริม สร้างแรงบันดาลใจ ให้เยาวชนไทยใส่ใจกับสุขภาพ การออกกำลังกาย เล่นกีฬา การแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สร้างจิตสำนึก ให้เยาวชนมีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้รักสามัคคี และอยู่อย่างมีความสุข นั้นคือเป้าหมาย สำหรับการสนับสนุน โครงการ “ Battle of The Year 2011” การแข่งขันเพื่อค้นหาสุดยอดนักเต้นบีบอยของไทย ISUZU พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการมอบโอกาศ ให้เยาวชนที่รักการเต้น บีบอย และหวังว่า น้องๆ ทุกคน มุ่งมั่นฝึกฝนและพัฒนาฝีมือให้เต็มที่ เพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จทั้งในระดับเอเชียและในระดับโลกต่อไป"


งานผ้าไหมอาเซียน “ASEAN Silk Heritage 2011 : สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยสู่สากล”

กลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” ขอเชิญเที่ยวงาน“ASEAN Silk Heritage 2011 : สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยสู่สากล” กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 หรือที่เรียกกันว่ากลุ่มจังหวัด “นครชัยบุรินทร์” ซึ่งประกอบด้วย 4 จังหวัด คือนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เป็นพื้นที่ซึ่งมีมรดกล้ำค่า คือ ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการผลิตผ้าไหม ที่ผ่านการสืบทอดมาอย่างยาวนาน ชื่อเสียงและเกียรติคุณของผ้าไหมได้รับการกล่าวขานในฐานะที่เป็นผ้าไหมที่ผลิตใช้ในพระราชสำนัก บุคคลชั้นสูง ผู้นำแต่ละประเทศ ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก มีฝีมือละเอียด ประณีต งดงาม มีลายเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละจังหวัด ได้แก่ ผ้าไหมลายหางกระรอก ของจังหวัดนคราชสีมา,หมี่คั่นขอนารี ของจังหวัดชัยภูมิ, ผ้ากระรอกหมี่ภูภิรมย์ ของจังหวัดบุรีรัมย์ และผ้าไหมมัดหมี่ลายโฮล ของจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งในแต่ละจังหวัดที่กล่าวมาได้มีการรวมกลุ่มเพื่อแสดงศักยภาพการเป็นผู้นำด้านการผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ไหม เป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมไหมที่สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี 2554 กลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ได้ร่วมกันจัดงานแสดงและจำหน่ายผ้าไหมระดับภูมิภาคอาเซียนขึ้น ภายใต้ชื่องาน “ASEAN Silk Heritage 2011 : สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยสู่สากล” เป็นการรวมสินค้า ผลิตภัณฑ์ไหม และสินค้าหัตถกรรมอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงของกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์และกลุ่มต่างประเทศในแถบอาเซียน ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ขีดความสามารถของผู้ผลิต ผู้ประกอบการไหมไทย ตลอดจนความพร้อมในการก้าวสู่เวทีการแข่งขันกลับกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดแสดง และจำหน่ายสินค้า ผลิตภัณฑ์ไหม และสินค้าหัตถกรรมอื่น ๆ ของกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ ร่วมกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในแถบอาเซียน ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสและช่องทางการตลาดต่างประเทศแก่ผู้ผลิต รวมถึงการสร้างรายได้แก่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการไหมและสินค้า OTOP ของกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ ภายในงานจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ประกอบด้วย นิทรรศการ “พระมิ่งขวัญตำนานแห่งไหมไทย” แสดงถึงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในการส่งเสริมสนับสนุนการผลิตไหม และชุดฉลองพระองค์ผ้าไหมของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งจะจัดแสดงไว้ให้ผู้เข้าชมงานได้มีโอกาสได้ชื่นชม เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 78 พรรษา - บูธจำหน่ายผ้าไหมและผลิตภัณฑ์จากไหมและงานหัตถกรรมอื่น ๆ ที่มีชื่อเสียงของกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ เป็นผ้าไหมบนเวทีแฟชั่นโลก จำลองชุดเจ้าสาวหยุดโลก (ชุดเจ้าหญิงเคตจากผ้าไหม) บิกินีผ้าไหม ผ้าไหมกลิ่นหอม ผ้าไหมซักเครื่องได้ เครื่องสำอางจากไหม สินค้า OTOP ระดับพรีเมี่ยม เช่น กระเป๋า เสื้อผ้า ชุดไหม ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ผ้าพันคอ และสินค้าคุณภาพดีจากผู้ผลิตชุมชนอีกมากมาย - บูธแสดงผลิตภัณฑ์ไหมของประเทศในกลุ่มอาเซียน อาทิ ประเทศพม่า ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย เวียตนาม และไทย เป็นต้น จำนวนกว่า 150 บูธ - การแสดงนิทรรศการทางวิชาการและกิจกรรมสาธิตเทคโนโลยีในการพัฒนาการผลิตสินค้าผลิตภัณฑ์ไหมจากกรมหม่อนไหม, ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร, กรมศิลปากร, บริษัท จุลไหมไทย จำกัด - การบรรยายพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญผ้าไหม อาทิ อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ, บรรยายเรื่อง “สัมผัสความงามจากเส้นไหมสู่ใยผ้า” โดย อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย นักออกแบบผ้าไหม กลุ่มผ้ายกทองจันทร์โสมา ผู้ออกแบบควบคุมการสร้างพัสตราภรณ์และถนิมพิมพาภรณ์ (เครื่องประดับ) - การจัดแสดงแฟชั่นชุดผ้าไหมสมัยใหม่จากห้องเสื้อกนิษฐ์ ห้องเสื้อชื่อดังของเมืองไทย โดยนางแบบมืออาชีพ ตลอด ทั้ง 5 วัน - การแสดงมินิคอนเสิร์ตและการแสดงทางวัฒนธรรมอีสานใต้ การแสดงโขนชุด “นางลอย” รวมทั้งการแจกของรางวัลของที่ระลึกแก่ผู้เข้ามาร่วมชมงานอีกมากมาย โดยกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 6 -10 กรกฎาคม 2554 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์